ไวรัสโคโรน่า หรือชื่อที่คุ้นเคยกันแล้วว่า Covid-19 ซึ่งได้เป็นโรคที่แพร่ระบาดมาทั่วโลกเป็นเวลา 1 ปี กว่าแล้ว เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2019 ที่เมืองอู่ฮั่น จนถึงวันนี้ โรคไม่ได้หายไปเลย แถมจำนวนคนที่ติดเชื้อยิ่งเพิ่มขึ้น แต่อย่าได้ตระหนกไปเสียทีเดียว วิวัฒนาการ การรักษาปัจจุบันนี้ ได้เข้าถึงการเริ่มฉีดวัคซีนเพื่อยับยั้งโรค แต่อยากให้มาทำความรู้จักกันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โรค Covid-19 นี้ แปรเปลี่ยนเชื้อมากี่สายพันธุ์กันแล้ว จากการค้นพบ ไวรัสโคโรนา 2019 เชื้อเริ่มแรกเกิดขึ้น ในเดือน ธ.ค.2019 ที่ประเทศจีน คือเมืองอู่ฮั่น เป็น สายพันธ์ุ L และแตกออกมาเป็น 8 สายพันธุ์หลัก S,L,G,V,GH,GR,O,B ซึ่งถ้าแยกศัพท์ทางการแพทย์แล้วคงไม่คุ้น จะจำแนกตามสายพันธ์ุที่เป็นข่าวดังนี้ สายพันธุ์ดั้งเดิมคือสายพันธุ์ L ซึ่งปรากฏในอู่ฮั่นในเดือนธันวาคม 2019 การกลายพันธุ์ครั้งแรก - สายพันธุ์ S - ปรากฏขึ้นเมื่อต้นปี 2020 ในขณะที่ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม 2020 เรามี สายพันธุ์ V และ G วันที่สายพันธุ์ G เป็นที่แพร่หลายมากที่สุดโดยกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ GR และ GH เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เราจะเห็นว่าสายพันธุ์ G และ GR เป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดในยุโรปและอิตาลี ซึ่งในขณะนั้นสายพันธ์ุนี้รุนแรงและแพร่กระจายเร็วมาก ทำให้ประชากรทางฝั่งยุโรปพบยอดติดเชื้อขึ้นเป็นประวัติการณ์ ในส่วนอเมริกาเหนือสายพันธุ์ที่แพร่หลายที่สุดคือ GH ในขณะที่ในอเมริกาใต้เราพบสายพันธุ์ GR บ่อยกว่า ทั่วโลกสายพันธุ์ G, GH และ GR เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สายพันธุ์ S สามารถพบได้ในพื้นที่ จำกัด บางแห่งในสหรัฐอเมริกาและสเปน สายพันธุ์ L และ V กำลังค่อยๆหายไป จนล่าสุด ในเดือนเมษายน พ.ศ.2021 ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า B1617 ซึ่งมีการตรวจพบในอินเดียครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ได้เพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ จนทำลายสถิติมียอดผู้ติดเชื้อกลายเป็นอันดับ 1 ของโลกแซงประเทศสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกกันตอนนี้ว่า " สายพันธุ์เบงกอล " อย่างไรก็ตามในอนาคตเราไม่อาจคาดเดาได้ว่า เชื้อไวรัสจะแปรเปลี่ยนสายพันธุ์หรือทวีความรุนแรงไปมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าประชากรในแต่ละประเทศให้ความร่วมมือ หมั่นมีวินัย สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง และไม่เอาตัวเองไปอยู่ที่ที่สุ่มเสี่ยงกับโรค น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่ไวรัสร้ายสายพันธุ์ใหม่ๆต่างๆ จะไม่สามารถทำอันตรายต่อเราได้ในระดับนึงนั่นเอง ที่มา:www.sciencedaily.com https://www.sciencedaily.com/releases/2020/08/200803105246.htm เครดิตภาพจาก : ภาพปก ภาพที่1 ภาพที่2 ภาพที่3 ภาพที่4