สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกคน ในช่วงที่ต้องกักตัวหรือ Work at Home เพราะการระบาดของไวรัส COVID 19 นี้ ผู้เขียนอยากจะมาชวนทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นด้วยหนังสือขายดีระดับโลกที่ชื่อ “7 อุปนิสัยให้วัยรุ่นเป็นเลิศ” ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ชื่อ “The 7 Habits of Highly Effective Teens” โดยผู้เขียน Sean Covey ค่ะ เป็นหนังสือที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างนิสัยและทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิตเลยล่ะค่ะ เชื่อว่าคนที่ชอบอ่านหนังสือแนว How To อาจจะเคยได้ยินชื่อหนังสือที่คล้าย ๆ เล่มนี้ที่ชื่อ “7 อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง (7 Habits for Highly Effective People)” หนังสือเล่มนี้ก็แต่งโดยนักเรียนชื่อดังระดับโลก Stephen Covey ซึ่งเป็นคุณพ่อของคุณ Sean Covey ค่ะ ความน่ารักของคุณพ่อ - ลูกคู่นี้เกิดจากเมื่อคุณ Stephen ผู้พ่อได้แต่งหนังสือเล่มดังกล่าวขึ้นมาจนกลายเป็น Best Seller และหนังสือเล่มนี้ก็ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในหนังสือด้านการพัฒนาตนเองที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียประการหนึ่งของเล่มนี้คือ เนื้อหาค่อนข้างเหมาะกับผู้ใหญ่ ถ้าเด็กหรือวัยรุ่นอ่านอาจจะรู้สึกว่าน่าเบื่อไปบ้าง และนี่ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณ Sean Covey เขียนหนังสือเนื้อหาคล้าย ๆ กันแต่เป็นเวอร์ชั่นที่อ่านสนุกและเหมาะกับวัยรุ่นมากกว่า จนกลายมาเป็น “7 อุปนิสัยให้วัยรุ่นเป็นเลิศ” ค่ะ แต่แม้ว่าชื่อหนังสือจะเขียนเหมือนเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น แต่จริง ๆ แล้วผู้ใหญ่ก็สามารถอ่านและเก็บเกี่ยวแนวคิดดี ๆ จากหนังสือเล่มนี้เพื่อมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นได้แน่นอนค่ะ เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ก็ตรงตามชื่อเลยค่ะ คือการแนะนำ 7 อุปนิสัยที่เราต้องจะต้องมีและฝึกฝนเพื่อเป็นเป็นคนที่ดีและเก่งยิ่งขึ้นค่ะ โดย 7 อุปนิสัยดังกล่าวได้แก่1. อิสระแห่งการเลือกตอบสนอง (Be Proactive) ในที่นี้หมายถึง ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ค่อยดีหรือน่าหงุดหงิดมากระทบกับจิตใจเราแค่ไหน แต่สิ่งที่เรามีเสมอก็คือ อิสระที่จะตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้น ๆ เราจะมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อก็ได้ หรือจะมองว่าเราสามารถตอบสนองได้ดีกว่านั้น โดยการคิดก่อนทำ ควบคุมอารมณ์ตัวเอง และรับผิดชอบในการตัดสินใจของตัวเองค่ะ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงเรื่องของภาษาที่ใช้ด้วยค่ะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ภาษาเชิงรุก หรือภาษาเชิงรับในการสื่อสารออกไป เช่น แทนที่จะพูดว่า “ฉันจะลองพยายามดู” (ภาษาเชิงรับ) ก็เปลี่ยนมาเป็น “ฉันจะทำให้ได้” (ภาษาเชิงรุก) แทนเพื่อให้รู้สึกว่าเราคือคนที่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เลือกที่จะทำเองค่ะ2. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ (Begin with the End in Mind) อุปนิสัยถัดมาก็คือการมีเป้าหมายที่แน่ชัดอยู่ในใจเสมอ แต่ถ้าได้เขียนออกมาก็จะยิ่งดีค่ะ ซึ่งเป้าหมายในที่นี้เป็นได้หลายเรื่องค่ะ เช่น สิ่งที่อยากเป็นในอนาคต หรืออาจจะเป็นทักษะที่อยากจะพัฒนาในระยะสั้นก็ได้ เพราะถ้าชีวิตไม่มีเป้าหมาย มันก็จะไหลไปเรื่อย ๆ ค่ะ3. ทำสิ่งที่สำคัญก่อน (Put First Things First) ต่อมาก็เป็นการจัดลำดับความสำคัญค่ะ ถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนสำคัญในเมื่อชีวิตในแต่ละวันก็มี To-Do List มากมาย คำตอบก็คือ เป้าหมายในข้อ 2 ของเราช่วยได้ค่ะ ถ้านั่นคือสิ่งที่เราปรารถนาจริง ๆ ความสำคัญมันย่อมมาเป็นลำดับต้น ๆ ค่ะ หรืออาจจะใช้แนวคิดตาราง 4 ช่อง คือ แบ่งกิจกรรมออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. สิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญ 2. สิ่งที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ 3. สิ่งที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน 4. สิ่งที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้ชีวิตไหลไปกับกิจกรรมในข้อ 4 จนมาเบียดบังเวลาในการทำข้ออื่น ๆ ก็พอค่ะ4. คิดแบบชนะ/ชนะ (Think Win/Win) ข้อนี้ก็คือการหมั่นพัฒนาสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีนั้นย่อมมาจากลักษณะที่ดีของตัวเรา เช่น ความเอื้ออาทร ความซื่อสัตย์ การรับฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ ที่สำคัญคือ อย่าคิดแต่จะเอาเปรียบกันค่ะ แต่พยายามหาทางที่ทั้งเราและเขาต่างได้ประโยชน์กันทั้งคู่ค่ะ5. เข้าใจผู้อื่นก่อน แล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา (Seek to Understand, Then to be Understood) ข้อนี้ก็ตรงตัวเลยค่ะ คือพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านมุมมองของผู้อื่นบ้าง ก็จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นค่ะ พยายามรับฟังเหตุผลอย่างจริงใจและอย่าถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ค่ะ6. ประสานพลัง (Synergize) ข้อนี้เป็นการฝึกทำงานและประสานงานร่วมกับผู้อื่นค่ะ เนื่องจากแต่ละคนมีความถนัดและความสามารถแตกต่างกันออกไป แต่ความสามารถเหล่านั้นเมื่อนำมารวมกันแล้ว ย่อมทำให้เราไปได้ไกลกว่าทำด้วยตัวเองคนเดียวแน่นอนค่ะ7. ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ (Sharpen the Saw) ข้อ 7 นี้สำหรับผู้เขียนมองว่าเป็นข้อที่สำคัญที่สุดเลยค่ะ เพราะเป็นรากฐานของความสำเร็จแทบทุกอย่างในชีวิตก็ว่าได้ ลับเลื่อยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การพัฒนาตนเองและหมั่นหาความรู้อยู่เสมอนะคะ แต่ยังหมายความถึงการรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจด้วยอาหารที่มีประโยชน์และการพักผ่อนที่เพียงพอด้วยค่ะ ข้อดีอีกประการหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือ การมีภาพประกอบและตัวอย่างที่น่าสนใจมากมายทำให้เราสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นและทำให้การอ่านไม่น่าเบื่อด้วยค่ะ ใครที่ยังไม่เคยอ่าน ผู้เขียนก็แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าควรหามาอ่านให้ได้เลยค่ะ ไม่แน่นะคะว่าข้อแนะนำเพียงข้อเดียวจากหนังสือเล่มนี้อาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาลก็ได้ค่ะเครดิตภาพภาพปกบทความโดยผู้เขียนภาพที่ 1 ภาพที่ 2ภาพที่ 3ภาพที่ 4