ภาพโดย adamkontor จาก Pixabay มาใส่ชุดสีฟ้ากันเถอะ ! เราคงเคยเห็นสื่อรณรงค์ถึงการติดริบบิ้นสีขมพูเพื่อระลึกถึงมะเร็งเต้านม สีมักถูกใช้เป็นสื่อที่ช่วยแสดงออกถึเรื่องต่าง ๆ อาจเป็นเพราะมันเข้าใจง่าย ปฏิบัติตามได้ง่าย และสามารถใช้สื่ออารมณ์ได้ดี เพราะฉะนั้นการใช้ สี นับเป็นการแสดงออกที่ดีอย่างหนึ่ง ภาพโดย Lorri Lang จาก Pixabay Dress in blue day เป็นอีกวันหนึ่งที่แฟชั่นสีฟ้าจะเป็นที่โดดเด่นขึ้นมา ซึ่งปีนี้จะตรงกับวันที่ 6 มีนาคม ซึ่งโดยปกติแล้วจะยึดเอาวันศุกร์แรกของเดือนมีนาคมเป็นวันที่ทุกคนร่วมกันแต่งชุดสีฟ้า โดยมีวัตถุประสงค์คือ ให้คนรู้จักและตระหนักถึงภัยที่มากับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ส่วนมากจะไม่ปรากฏอาการจนกว่าจะอยู่ในขั้นรุนแรง ซึ่งนั่นก็ดูจะสายเกินไปเสียแล้ว ที่มาของ Dress in blue day เกิดขึ้นราวปี 2006 โดย Anita Mitchell ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 และเธอเป็นผู้ที่รอดชีวิตจากโรคดังกล่าว เธอเริ่มจัดตั้งมูลนิธิเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ ก่อนจะริเริ่มวันที่มีการแต่งสีฟ้านี้ในโรงเรียนของท้องถิ่นเธอ เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็พบว่ามันเป็นความคิดที่ดี จึงได้นำเสนอไอเดียดังกล่าวกับบรรดาสมาชิกในกลุ่ม และในปี 2009 วันดังกล่าวจึงได้เริ่มแพร่ขยายไปในกลุ่มประเทศ ภาพโดย Adina Voicu จาก Pixabay วันอื่น ๆ ที่คนจะแต่งสีฟ้า วันออทิสติก ตรงกับวันที่ 2 เมษายน ภาวะออทิสติกนั้นพบได้ประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมด การใส่สีฟ้านั้นจะเป็นการสื่อถึงความรู้และความเข้าใจในภาวะดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงผู้คนที่แต่งกายด้วยสีฟ้า แต่สถานที่สำคัญบางที่จะมีการเปิดไฟสีฟ้าเพื่อระลึกถึงวันดังกล่าวด้วย Wear Blue Day เป็นวันที่คล้าย ๆ กับวัน Dress in blue คือคนจะแต่งตัวกันด้วยสีฟ้า แต่สิ่งที่จะสื่อถึงคือ สุขภาพของผู้ชาย เนื่องจากผู้ชายเป็นเพศที่ดูแลสุขภาพน้อยกว่าผู้หญิง และมีโอกาสที่จะเป็นโรคที่ส่งผลรุนแรง เช่น มะเร็ง มากกว่า ด้วยพฤติกรรมทางสุขภาพ ด้วยปัจจัยอื่น ๆ ทำให้การแต่งสีฟ้านั้นจะบ่งบอกว่าเราตระหนักถึงภาวะดังกล่าว ภาพโดย Adina Voicu จาก Pixabay สีฟ้าคือสีที่จะว่าสดใสก็สดใสเหมือนท้องฟ้ายามฤดูร้อน จะมองว่าเศร้า สีดังกล่าวก็เป็นตัวแทนของความเศร้าสร้อย หากใส่ในโทนเข้มก็อาจทำให้ดูหดหู่ได้ เรื่องของแฟชั่นไม่มีใครถูกผิด เราสามารถ mix and match กันได้ตามแต่ใจ จะสไตล์น่ารัก สวยหวาน หรือหล่อเข้ม เป็นนักกีฬาก็แล้วแต่เรารังสรรค์เลยจ้า...