มิงกะลาบา วันนี้ขอทักทายผู้อ่านเป็นภาษาพม่านะคะ เพราะวันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การไปพม่าครั่งแรกในชีวิตค่ะ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนของปีที่แล้วคือปี 2562 ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปทำงานที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางออกนอกประเทศไทย และได้ไปมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในราชวงศ์สุดท้ายของพม่า แม้เวลาจะผ่านไป แต่ยังรักษาความสวยงามของสถานที่ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้อยู่ วันนั้นเดินทางโดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ไปถึงมัณฑะเลย์ประมาณบ่ายสองโมง เวลาบ้านเขาจะช้ากว่าบ้านเราเพียงครึ่งชั่วโมง พอมาถึงก็จัดการซื้อซิมโทรศัพท์มือถือ ในพม่าจะมีซิมของ Telenor ค่ะ สัญลักษณ์รูปกังหันเหมือนดีแทคในไทย สำหรับเงินที่ใช้เป็นเงินจ๊าดค่ะ ผู้เขียนได้แลกเตรียมไว้ก่อนเดินทางมาที่นี่แล้ว อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนั้น 1 บาท จะแลกได้ประมาณ 49 จ๊าด ลองนึกดูเล่น ๆ นะคะ ว่าแลกเงินบาทหลักพัน เราจะได้ถือเงินหลักแสน (จ๊าด) ใช้จ่ายกันสนุกสนานเลย เราเดินทางออกจากสนามบินไปมหาวิทยาลัยมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไปทำงานในครั้งนั้น และเดินทางต่อไปยังที่พัก จากการนั่งรถมาตลอดทาง ผู้เขียนค่อนข้างสับสนกับทิศทางของถนนในพม่าซึ่งตรงกันข้ามกับไทย คือ ขาขึ้นอยู่ทางขวา และขาล่องอยู่ทางซ้าย นั่นแปลว่า เวลาเลี้ยวเข้าสถานที่ที่อยู่ติดถนนใหญ่ จะต้องเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้ายออก ทิศทางตรงกันข้ามเป็นอุปสรรคต่อการข้ามถนนอย่างมาก ผู้เขียนต้องลบความเคยชินการข้ามถนนที่ไทย แล้วท่องในใจเสมอว่า มองซ้าย-ขวา อีกอย่างหนึ่ง คือ คนพม่านิยมขี่รถจักรยานยนต์และบีบแตรไปตลอดทาง เดินอยู่บนทางเท้าจะได้ยินเสียงแตรรถเป็นเรื่องปกติ สำหรับเรื่องเล่าต่อจากนี้ ผู้เขียนจะไม่เล่าถึงเรื่องการทำงาน เนื่องจากบทความวันนี้จะเน้นไปที่สถานที่ท่องเที่ยวในมัณฑะเลย์ หลังจากทำงานเสร็จ ผู้เขียนมีวันว่างอยู่ 1 วันสำหรับการเที่ยวมัณฑะเลย์ก่อนเดินทางกลับไทย ผู้เขียนเตรียมเสื้อลูกไม้และซิ่นลายขวางแบบล้านนามาด้วย เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือวัด คนพม่าเคร่งครัดในการแต่งกายและความประพฤติเวลาไปวัดเป็นอย่างมาก โชคดีที่ผู้เขียนมีชุดพื้นเมืองที่ใกล้เคียงกับคนพม่าอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นุ่งซิ่นที่เตรียมมา เพราะระหว่างนั้นได้ซื้อซิ่นลุนตยาที่ร้านขายชุดพม่าแห่งหนึ่ง คนพม่าเรียกผ้าซิ่นว่า ลองจี ส่วนลุนตยา คือชื่อของซิ่นพม่าที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ ผู้เขียนใส่เสื้อที่เตรียมมากับซิ่นที่เพิ่งซื้อมาใหม่ พร้อมเที่ยวมากค่ะ เริ่มต้นเช้าวันเที่ยวด้วยการไปมัณฑะเลย์ฮิลล์ (Mandalay Hill) เป็นเนินเขาที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ทางขึ้นเขาค่อนข้างชันเล็กน้อย ด้านบนเป็นที่ตั้งของวัด ซึ่งมีพระพุทธรูปหินขาวประดิษฐานทั้ง 4 ทิศ รอบ ๆ วัดมีจุดชมวิวเมืองมัณฑะเลย์ อารมณ์เหมือนวัดพระธาตุดอยสุเทพบ้านเรา สำหรับวัดแห่งนี้จะเก็บค่าเข้าชมคนละ 1000 จ๊าด มีทางขึ้นเป็นบันไดเลื่อนประมาณ 3-4 ชั้น เหมือนในห้าง แต่ตัวบันไดเลื่อนค่อนข้างเก่า ผู้เขียนได้ฝากรองเท้าไว้ ณ ประตูทางขึ้น และเดินเท้าเปล่าขึ้นบันไดเลื่อน เป็นครั้งแรกที่เท้าสัมผัสกับพื้นบันไดเลื่อนซึ่งเป็นซี่ ๆ เพราะปกติเวลาขึ้นบันไดเลื่อนที่ไทย เราไม่ต้องถอดรองเท้าอยู่แล้ว ซึ่งบันไดเลื่อนนี้มีเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น ขาลงจะมีลิฟต์ค่ะ แต่ทันทีที่ขึ้นไปถึง เจ้าหน้าที่ที่ดูแลก็บอกว่า ลิฟต์เสีย ต้องเดินลงเท่านั้น (อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น) แต่อย่ากระนั้นเลย ไปไหว้พระแล้วเดินชมความสวยงามของวัดและวิวจากยอดดอยก่อนดีกว่า ขาลงค่อยว่ากัน ลองดูภาพบรรยากาศด้านล่างค่ะ ตัววิหารตกแต่งด้วยกระจก สีสันสวยงามละเอียดมาก พระพุทธรูปหินขาว ณ มุมหนึ่งจากทั้ง 4 ทิศ จากภาพจะมองเห็นเจดีย์สีทองอร่ามอยู่ตรงกลาง จุดชมวิวอันสวยงาม เสียดายที่มุมนี้เห็นเมืองมัณฑะเลย์ไม่ค่อยชัดเท่าไร หลังจากไหว้พระขอพรเอาฤกษ์เอาชัยที่แรก และเพลิดเพลินกับความงามของจุดชมวิวแล้ว ก็ได้เวลาไปยังสถานที่ต่อไปแล้วค่ะ อย่างที่บอกไปว่าลิฟต์เสีย เพราะฉะนั้น เดินลงเท่านั้นค่ะ กว่าจะลงมาถึงก็ขาลากพอดี และยังต้องเดินย้อนกลับไปเอารองเท้าที่จุดทางขึ้นซึ่งอยู่ทิศตรงกันข้ามค่ะ พอขึ้นรถแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือ หยิบทิชชู่เปียกเช็ดเท้าให้สะอาดทันที เรานั่งรถลงจากมัณฑะเลย์ฮิลล์ไปยังสถานที่ต่อไปคือ วัดกุโสดอว์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก สถานที่นี้มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นที่ที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 โดยพระเจ้ามินดงทรงให้จารึกพระไตรปิฎกจำนวนกว่า 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อนจำนวน 729 แผ่น และนำไปประดิษฐานในมณฑปสีขาว นับเป็นพระไตรปิฏกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือมณฑปสีขาวที่มีพระไตรปิฎกดังกล่าว สีขาวของมณฑปที่เรียงรายเป็นแนวยาวเป็นฉากหลังถ่ายรูปที่สวยมาก วันนั้น มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ณ สถานที่แห่งนี้ด้วยค่ะ แต่ในภาพนี้ ผู้เขียนพยายามหามุมที่ไม่มีคนเพื่อให้เห็นความสวยงามของมณฑปเหล่านี้ มณฑปสีขาวที่มีพระไตรปิฎกประดิษฐานอยู่ภายใน เรียงรายเป็นแนวยาว ซึ่งมีแผนผังบอกลำดับของพระไตรปิฎกด้วย สิ่งที่ผู้เขียนพลาดอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้ถ่ายรูปเจดีย์กุโสดอว์ ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางมณฑปเหล่านี้ เจดีย์สีทองอร่ามซึ่งจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองในพุกาม นึกขึ้นได้เมื่อเดินออกมาแล้ว โดยได้ถ่ายรูปพระพุทธรูปในโบสถ์มาแทน ผู้เขียนใช้เวลาอยู่ในวัดกุโสดอว์ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงเดินทางไปที่พระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งมีค่าเข้าชม 10,000 จ๊าด โดยจะได้รับตั๋วหนึ่งใบ สามารถเข้าชมพระราชวังมัณฑะเลย์และสถานที่อื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน ผู้เขียนเลือกไปชมความงามของวิหารไม้สักทองชเวนันดอว์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามินดง โดยได้รื้อนำไม้สักทองจากอมรปุระมาที่พระราชวังมัณฑะเลย์ เมื่อพระเจ้ามินดงสิ้นพระชนม์ พระเจ้าสีป่อได้ย้ายวิหารดังกล่าวออกมาจากเขตพระราชวังมัณฑะเลย์ ทำให้วิหารแห่งนี้รอดพ้นจากการถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากพระราชวังมัณฑะเลย์ถูกทิ้งระเบิดทำลายจนราบคาบ คงเหลือเพียงวิหารที่ได้ย้ายออกมาตั้ง ณ วัดชเวนันดอว์อยู่มาจนถึงปัจจุบัน โชคดีเหลือเกินที่วิหารแห่งนี้อยู่นอกเขตพระราชวัง มิเช่นนั้น เราอาจไม่ได้เห็นความอลังการและลวดลายอันวิจิตรบรรจงของชเวนันดอว์ของจริงในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนเดินกลับไปที่ทางเข้าพระราชวังมัณฑะเลย์โดยใช้ตั๋วใบเดิม อย่างที่บอกไปว่า พระราชวังมัณฑะเลย์ได้ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น สิ่งที่อยู่ที่นี่ คือพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมของพระราชวังเดิม น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสสถานที่จริงในอดีต ภายในพระราชวังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์ของพม่า และมีสุสานของพระเจ้ามินดงในเขตพระราชวังด้วย สำหรับสถานที่บางส่วนจะไม่สามารถถ่ายรูปได้ ดังนั้นรูปที่อยู่ในบทความนี้คือส่วนที่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งของด้านนอกพระราชวังซึ่งจำลองขึ้นมาใหม่ ซึ่งดูใหญ่โตอลังการมาก จากนั้นผู้เขียนได้เข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุดท้ายของพม่า ก่อนกลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ รูปด้านล่างคือหุ่นจำลองพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยาลัต กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์พม่า จากนั้น ผู้เขียนได้ไปที่หอคอยของพระราชวังมัณฑะเลย์ เพื่อชมบรรยากาศโดยภาพรวมจากมุมสูง ต้องเดินขึ้นบันไดวนไปสู่ด้านบนสุดของหอคอย ไม่มีลิฟต์อำนวยความสะดวก เพื่อให้ได้ความรู้สึกว่ามาถึงที่แล้ว ผู้เขียนตัดสินใจเดินขึ้นไปให้สุดปลายทาง ดูจากในรูปแล้วลองคำนวณดูว่าผู้เขียนต้องเดินขึ้นบันไดวนกี่ก้าว เท่ากับตึกกี่ชั้น ภารกิจสำเร็จค่ะ ผู้เขียนได้บันทึกไว้ในสตอรี่ไอจีของตนเองเป็นที่ระลึก ได้ชมบรรยากาศของพระราชวังแบบรอบทิศทาง พร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดหอคอยให้เต็มปอด เตรียมพร้อมกับการเดินกลับลงไปอีกรอบ ผ่านไปสามแห่งใช้เวลาครึ่งวัน ใกล้เวลาเที่ยงพอดีค่ะ ผู้เขียนไปรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านมิงกาละบาร์ (Mingalabar) ร้านนี้มีชื่อติดอันดับใน Tripadvisor และเว็บไซต์รีวิวอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งอร่อยสมกับรีวิวจริง ๆ จนอยากจะยกเอาร้านนี้กลับไปที่ไทยด้วย ปกติแล้วผู้เขียนเคยรับประทานอาหารพม่าจากร้านอาหารตามสั่งที่มีคนพม่าเป็นเจ้าของ แต่ครั้งนี้ได้สัมผัสกับวิถีการรับประทานอาหารพม่าจริงจัง มื้อนี้ผู้เขียนสั่งยำยอดมะขาม ผัดกุ้งแม่น้ำ และแกงฮังเล แต่สิ่งที่ได้คือ...ดูในรูปนะคะ ตกใจมาก นึกว่าเสิร์ฟผิด ฉันสั่งแค่สามอย่างเองนะ! แต่จากการที่รับประทานอาหารพม่าในมัณฑะเลย์มาประมาณ 3-4 มื้อแล้ว ก็พอรู้แล้วว่า อาหารนอกเหนือจากที่สั่งมา เป็นเครื่องเคียงค่ะ แต่ก็ตกใจทุกมื้อนั่นแหละค่ะ เพราะมันเยอะเกินกว่าจะกินหมด วัฒนธรรมการกินของพม่าคือนิยมกินอาหารกับเครื่องเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ สรุปแล้วบนโต๊ะมื้อนี้มียำยอดมะขาม ผัดกุ้งแม่น้ำ แกงฮังเล น้ำพริกปลาพร้อมผักแนม (เผ็ดมากกกกกกกกกกกก พนักงานเสิร์ฟเตือนก่อนกิน) ผัดถั่ว แกงผัก อีกถ้วยหนึ่งทำจากถั่ว แต่ลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร สรุปแล้วมีกับข้าว 7-8 อย่างสำหรับมื้อนี้ และโค้กซีโร่อีก 1 กระป๋อง พร้อมน้ำแข็งประมาณ 3-4 ก้อน ก่อนมาพม่า ผู้เขียนเคยได้ยินเขาพูดกันว่า คนพม่าไม่นิยมกินน้ำแข็งหรือน้ำเย็นเหมือนบ้านเรา ดังนั้น ถ้าไปตามร้านอาหารหรือเครื่องดื่ม จะไม่ค่อยมีน้ำแข็งให้ ซึ่งก็เป็นจริงนะคะ ทุกมื้ออาหารจะมีน้ำแข็งมาเพียงแค่ 3-4 ก้อน ไม่เคยได้เต็มแก้วเลย แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ไปที่ไหน ๆ ไม่ว่าจะร้านอาหารหรือร้านขายของชำทั่ว ๆ ไป มีโค้กซีโร่ขายทุกที่ค่ะ ในเมืองไทยยังว่าหาซื้อยาก ร้านขายของชำเล็ก ๆ จะไม่ค่อยเอามาขายเท่าไร ไปพม่าครั้งนี้ไม่ผิดหวังเลย มีน้ำอัดลมให้กินทุกมื้อค่ะ ฮ่า ๆ รับประทานอาหารเสร็จ คนขับรถพาผู้เขียนไปส่งที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ นั้นแดดร้อนมาก ไม่เหมาะกับการไปวัดเท่าไร เป็นเหตุผลที่ดีมากเลยค่ะ นึกถึงการถอดรองเท้าเวลาไปวัดยามแดดร้อนเปรี้ยง ๆ แล้วรู้สึกเท้าพองขึ้นมาทันที อีกทั้งที่พม่าแดดแรง อากาศร้อนกว่าบ้านเรามาก เที่ยวยามเที่ยงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้เขียนขอค้างไว้ที่กลับโรงแรมหลังรับประทานอาหารเที่ยงก่อนนะคะ สำหรับการเที่ยวในช่วงบ่าย ขออดใจรออ่านต่อในบทความหน้านะคะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าประทับใจรออยู่ค่ะ พบกันใหม่ในบทความหน้านะ อะติดตุ๊ย (ภาษาพม่า แปลว่า พบกันใหม่) ภาพปก ผู้หญิงในภาพคือผู้เขียน ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน