Hi bye,Mama คือซีรี่ส์ที่หลายคนอาจรู้จักเนื่องจากเป็นการกลับคืนจอของนักแสดงอย่าง คิมแทฮี ที่ห่างหายจากวงการการแสดงไปอย่างยาวนาน โดยซีรี่ส์เรื่องนี้เป็นซีรี่ส์แนวแฟนตาซี / ดราม่า โดยเนื้อเรื่องนั้นบอกเล่าเรื่องราวของ ชายูรี หญิงสาวท้องแก่ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชน ทำให้เธอนั้นเสียชีวิตแต่ลูกของเธอนั้นรอด ทำให้เธอไม่ยอมไปผุดไปเกิด เพราะเป็นห่วงลูกและคอยเฝ้ามองลูกตลอดเวลา จนเวลาผ่านไป 5 ปี ก็เกิดโชคชะตาบางอย่างทำให้เธอนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ 49 วัน และเธอนั้นจะทำอย่างไรต่อไป จะใช้ชีวิตที่ได้รับมาอย่างไร ต้องไปติดตามกันค่ะซีรี่ส์เรื่องนี้มีทั้งหมด 16 ep.โดยในแต่ละ ep.ก็จะสะท้อนมุมมองชีวิตมากมายนอกเหนือจากความรักของแม่ที่มีต่อลูก ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความเศร้า แน่นอนว่าความดราม่านั้นเรื่องนี้ก็จัดมาให้เราเสียน้ำตาทุก ep. เรียกได้ว่าจะดูเรื่องนี้ทีไรต้องหยิบทิชชู่มาวางไว้ข้างตัวตลอด เนื่องจากข้อคิดต่าง ๆ ที่เราได้จากเรื่องนี้มันดีเกินกว่าที่เราจะเก็บไว้รู้เพียงคนเดียว เราจึงรวบรวมมุมมองของชีวิตที่ได้จากเรื่องนี้โดยแบ่งเป็นสองพาร์ท โดยพาร์ทนี้จะพูดถึงสิ่งที่ได้ตั้งแต่ ep.1-10 และเราจะต่อส่วนที่เหลือในพาร์ทที่ 2 ค่ะ1. ใช้ทุกช่วงเวลาของชีวิตให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย"บนโลกนี้ไม่มีใครเกิดมาแล้วรู้วันสุดท้ายของตัวเอง ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะได้เห็นคนตายมากมาย แต่ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเองตอนนี้ มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเศร้าของคนอื่น จริง ๆ แล้วพวกตัวเอกในละครเศร้าเคล้าน้ำตา อาจเป็นพ่อฉัน แม่ฉัน หรืออาจเป็นตัวฉันเองก็ได้ ในโลกที่ไม่อาจรู้อนาคตได้เลย อะไรจะเกิดขึ้นกับฉันก็ได้"ประโยคดังกล่าวเป็นคำพูดจากในเรื่องทำให้เราเห็นว่าชีวิตนั้นล้วนคาดเดาไม่ได้ เพื่อไม่ให้มานึกเสียดายทีหลัง ไม่ว่าจะเจอเรื่องยากลำบากแค่ไหน ตอนที่ยังกินได้ ตอนที่ยังสัมผัสคนที่เรารักได้เราจึงควรดื่มด่ำกับการความงดงามของการมีชีวิตและลมหายใจ อย่ายึดติดอยู่กับความจริงที่ยิบย่อยจนไม่เข้าใจความเป็นจริงที่สำคัญของชีวิต2. ชีวิตไม่ใช่ของเราแค่คนเดียว"ฉันเคยคิดว่าความตายเป็นแค่การจากลาโลกใบนี้ไป หลังจากใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีในช่วงเวลาที่พระเจ้าให้มาก็แค่นั้น แต่สิ่งที่ฉันได้เข้าใจหลังจากตายไปแล้ว ก็คือความจริงที่ว่า ชีวิตไม่ใช่ของเราแค่คนเดียว แม้ความตายจะอยู่ตรงหน้าแต่สิ่งเดียวที่เราคิดถึงก่อนตัวเองก็คือครอบครัว"ในความจริงแล้วเรานั้นไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง เราใช้ชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น ๆ โดยเฉพาะพ่อแม่ ผู้ที่คาดหวังกับชีวิตของเรา อยากเห็นความงดงามในชีวิตของเราและรักเรามากกว่าตัวเราเอง ในซีรี่ส์นั้นก็จะสะท้อนมุมมองของเรื่องนี้ผ่านทางตัวละครที่เป็นผีและยังมีห่วงกับครอบครัวของตัวเอง หรือแม้กระทั่งคนที่ฆ่าตัวตายนั้นก็ยังมาสำนึกได้ทีหลังว่าคนที่จะเสียใจมากที่สุดเมื่อเราตาย ไม่ใช่ตัวเราเองแต่เป็นครอบครัว3. ชีวิตก็เหมือนกับดอกไม้ที่ต้องเบ่งบานและร่วงโรย"ท่ามกลางผู้คนมากมายในโลกนี้ เราสร้างความสัมพันธ์กับคนกลุ่มหนึ่งและใช้ชีวิตร่วมกัน ฉันเองก็เคยมีช่วงเวลาที่เบ่งบาน ราวกับดอกไม้ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ฉันรัก แต่ดอกไม้ที่ฉันเคยคิดว่ามันผลิบานและเติบโตอย่างแข็งแรงแล้ว มันกลับร่วงโรยเร็วเหลือเกิน ไม่มีดอกไม้ใดเบ่งบานอย่างไร้ความหมายความหมาย ที่ที่ฉันผลิบานและร่วงหล่นก็จะมีดอกใหม่ผลิบานขึ้นมาแทนที่ฉัน"หากจะเปรียบเทียบชีวิตเป็นสิ่งหนึ่ง ดอกไม้ก็คงเป็นเหตุผลที่ดี ด้วยความที่ดอกไม้นั้นมีเกิดมีร่วงโรย ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านลมผ่านฝน ซึ่งก็เหมือนกับมรสุมปัญหาในชีวิตของมนุษย์ แต่ถ้าดอกไม้สามารถอดทนกับสภาพอากาศต่าง ๆ ได้ หลังจากพายุสงบลงดอกไม้ก็จะกลับมางดงามเสมอ จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับดอกไม้ที่เติมปุ๋ยตลอดเวลาเพื่อที่รากของมันนั้นจะได้แข็งแรง ทนกับทุกสภาพอากาศและงดงามอยู่ตลอดเวลา4. ความเจ็บปวดของคนที่ไม่อาจร่ำลา"มีชีวิตหนึ่งเข้ามาในชีวิตของเราอย่างลึกสุดใจ หัวเราะไปด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่งแล้วจากนั้นก็จากเราไป นั่นแหละคือการจากลา ช่วงเวลาแห่งการจากลานี้บางคนอาจยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดและเผชิญหน้ากับความเศร้าที่ถาโถมเข้ามา บางคนอาจมองข้ามความเศร้านั้นเพื่อปกป้องตัวเองจากการจากลาที่เกินรับไหวและเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการมองข้ามความจริง ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปหรืออะไรก็ตามที่พยายามทำอยู่ ก็ไม่มีวิธีไหนเอาชนะความเศร้านี้ได้เลย การเตรียมพร้อมรับมือกับการจากลา ในโลกนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก..."การจากลานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และทุกคนต้องได้พบเจอ เป็นสิ่งที่เจ็บปวดและเกินทนสำหรับใครหลาย ๆ คน ผู้คนรอบข้างมักจะบอกให้เราลืม แต่ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะทำ ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าเราจะยังลืมไม่ได้ ขอแค่เรายังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมกับความจากลาและความคิดถึงก็เพียงพอ5. สิ่งที่เราไม่อาจเอื้อมถึงมนุษย์เรานั้นมักจะถูกปลูกฝังความเชื่อที่ว่าหากเราพยายามและมุ่งมั่น ก็ไม่มีอะไรที่คว้ามาไม่ได้ แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้นก็ยังมีสิ่งที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเอื้อมถึงได้ จากในซีรี่ส์นั้นที่ที่ว่าคือที่ของแม่นั่นเอง แต่เมื่อย้อนกลับมามองชีวิตของเรานั้นก็คงไม่ได้มีแค่ที่ของแม่ที่เราไม่อาจเอื้อมถึง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน ความรัก ความฝัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความผิดหวัง แต่เราก็ยังสามารถเลือกได้ว่าเราจะพอแค่นี้หรือจะพยายามต่อไปแล้วคุณล่ะ สิ่งที่ไม่อาจเอื้อมถึงของคุณคืออะไร?เครดิตรูปภาพจาก: http://program.tving.com/tvn/hibyemama