มุลาอิ ขุนเขาแห่งศัทรา เราเดินทางโดยรถตู้ออกจากกรุงเทพมหานคร ในค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงจุกนัดพบบริเวณ หมู่บ้านมอเกอไทย ริมแม่น้ำเมยอำเภอพบพระ จังหวัดตาก เพื่อเปลี่ยนรถยนต์ 4*4 เข้าสู่จังหวัดเมียวดี สหภาพเมียนมา ซึ่งห่างจากชายแดนไทย ฝั่ง อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ประมาณ 40 กิโลเมตร มุลาอิ เป็น 1 ใน 4 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ (โมโกตู หรือ มะม่วงสามหมื่น, ดอยพะวี, เมะลาอะ และ มุลาอิ ) ของชาวกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) เราเลือกเดินทางในช่วงวันวานเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันธรรมดา เนื่องจากเราต้องการความเป็นส่วนตัวของกรุ๊ป จะได้ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนมากนัก ออกเดินทางตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสบดี ในช่วงกระแสการท่องเที่ยวที่มุลาอิค่อนข้างมาแรง ภาพถ่ายที่สวยงามในโซเซียลที่สวยงามทำให้หลายๆคนอยากจะไปเยี่ยมเยียนและสัมผัส เห็นด้วยตาดัวเองสักครั้ง....เราก็เช่นกัน เราเดินทางมาถึง อ.พบพระ จ.ตาก เวลาประมาณ 04.00 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ แวะเตรียมสเบียงจากร้านสะดวกซื้อ และมาถึงจุดนัดหมายเวลาประมาณ 05.00 น. เพื่อต่อรถยนต์ 4*4 ข้ามฝั่งไปฝั่งพม่า มุลาอิเป็นขุนเขาแห่งศรัทธาของชาวพม่า ตั้งอยู่ชายแดนไทยในเขตปกครอง กะเหรี่ยง DKBA จ.เมียวดี ประเทศพม่า มีความสูงของยอดเขาที่ 2,078 m มุลาอิ เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาพุทธ ตั้งอยู่ในเขตปกครองกะเหรี่ยง DKBA เป็นสถานที่ศักดิ์ที่ชาวพุทธในพม่าจะไปแสวงบุญ ที่นี่น่าไปเที่ยวไปทำบุญมาก มีทิวทันศ์ที่สวยงาม ด้านบนกินเจอย่างเดียว ห้ามเอาเนื่อสัตว์ขึ้นไปเด็ดขาด มีเจดีย์อยู่ 2 ยอด ยอดบนสุดสูงจากระดับน้ำทะเล 2078เมตร ผู้ชายขึ้นได้เท่านั้น ส่วนผู้หญิงขึ้นได้ยอดล่างต่ำลงมา 20-30 เมตร ยอดเขามุลาอิ จะมีพระเจดีย์ให้เราสักการะ 2 องค์ โดยผู้หญิงสามารถขึ้นมาสักการะได้แค่พระเจดีย์องค์แรก คือองค์ในรูปนี้ ซึ่งประดิษฐานอยู่ก่อนถึงยอดสูงสุดในระดับต่ำลงมาประมาณ 30-40 เมตร จากระดับน้ำทะเล ส่วนผู้ชายสามารถเดินเลยขึ้นไปสักการะได้ถึงองค์พระธาตุเจดีย์มุลาอิ ซึ่งอยู่บนยอดสูงสุด 2,070 เมตร จากระดับน้ำทะเล วิธีการไปสักการะพระธาตุด้านบนมีกฏชัดเจน ผู้หญิงให้ใส่ผ้าถุงขึ้นไปเท่านั้นตั้งแต่ทางเดินขึ้น ส่วนผู้ชายใส่กางเกงได้ปกติ ต้องถอดรองเท้าไว้ข้างล่างตรงบันไดทางขึ้น ผู้หญิงจะสามารถสักการะได้ที่พระธาตุด้านล่างตรงจุดแรกเท่านั้น ส่วนผู้ชายสามารถขึ้นไปได้เลย วิวบริเวณพระธาตุสวยมาก ช่วงที่เราเดินขึ้นไปสักการะพระธาตุ กระแสลมกำลังพัดแรงมาก หอบเอาเฆม หมอก ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา ซึ่งทำให้คนแบบผู้ซึ่งไม่มีโอกาศมาในสถานที่แบบนี้เราตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อมาถึงที่นี่จะมีพระธาตุ และจุดกางเต็นท์ ซึ่งเดินคนละทางกัน ระยะทางจากจุดที่ลงรถไปจุดกางเต็นท์ไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดิน 10-20 นาที แล้วแต่ร่างกายของแต่ละคน เดินคุยกับเพื่อนไป แวะถ่ายรูปกันไป แปปเดียวก็ถึงจุดกางเต๊นท์แล้วค่ะ เลือกพื้นที่ราบสำหรับกางเต๊นท์ สำหรับพัก 1 คืน ดูทางช้างเผือกจากหน้าเต๊นท์ ตื่นเช้าลูกหาบชาวพม่าจะมาต้มน้ำสำหรับชงชา กาแฟ และเตรียมข้าวต้มเจเป็นมื้อเช้าให้เรา หลังจากนั้นก็เก็บเต๊นท์เก็บของเตรียมกลับบ้านกันค่ะ ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 10 คน ใช้ลูกหาบ 1 คน สำหรับเป็นผู้นำทาง ร่วมถึงปรุงอาหารเจให้พวกเราทาน และช่วยแบกสัมภาระส่วนกลาง ซึ่งสัมภาระส่วนตัวเช่นกระเป๋าเสื้อผ้า เต๊นท์นอน เราต้องแบกกันเอง อากาศบนภูเขาเย็นมาก ลมแรงมากและอุณภูมิจะลงลดอีกในตอนกลางคืน ช่วงที่เราไปอุณหภูมิประมาณ 6-7 องศา บวกกับลมที่แรง อุปกรณ์เครื่องกันหนาวควรเตรียมไปให้พร้อมค่ะ จุดกางเต็นท์จะเป็นทิวเขาสุดลูกหูลูกตาสวยงามมาก การกางเต็นท์ชายหญิงห้ามนอนเต็นท์เดียวกันและห้ามแตะต้องกัน ต้องปฏิบัติตามกฎและให้เกียรติสถานที่ด้วย เส้นทางจากด่านบ้านมอเกอไทย-มุลาอิ จะมีจุดพักรถ 3 จุด ให้ทุกคนบนรถได้พักเปลี่ยนอิริยาบถคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งเกร็งบนรถ เพราะถนนหนทางวิบากมากนั่นเอง เส้นทางข้ามแดน พวกเราจะข้ามไปยังเขตปกครองตนเองกะเหรี่ยงพุทธ DKBA ณ ด่านบ้านมอเกอไทย ตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ใช้การเดินทางและเส้นทางเดิมเพื่อกลับยังจุดฝากรถที่ฝั่งไทยแวะอาบน้ำชำระร่างกายที่เปื้อนฝุ่นแล้วเดินทางเข้ากรุงเทพกันต่อ เป็นอันจบทริปนี้ค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งทริปนี้ อย่างที่เราบอกไปว่าเป็นทริปหารเฉลี่ยกัยในหมู่เพื่อนๆ ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ค่ารถตู้จากกรุงเทพฯ ค่าอาหาร 6 มื้อ ค่าลูกหาบ 1 คน และค่าขนม เครื่องดื่ม กาแฟ ต่างๆตามที่เราแวะพัก รวมค่าใช่จ่ายทั้งสิ้นไม่เกิน 3,000 บาทถ้วนค่ะ ^^