การแข่งขันฟุตบอลคาราบาวคัพรอบ 16 ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้จะเปิดบ้านเอดิฮัต สเตเดียมพบกับแชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูล ในวันที่ 23 ธันวาคม 2565 เวลา 03:00 ซึ่งเป็นนัดแรกของทั้งคู่หลังจากจบฟุตบอลโลก 2022 ถ้าดูฟอร์มล่าสุดที่พบกันใน 5 นัดหลังสุดทุกถ้วย จะเห็นได้ชัดเจนว่าทางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ยังไม่ชนะลิเวอร์พูลเลย มีเสมอ 2 ลิเวอร์พูลชนะ 3 ซึ่งก็เป็น 3 นัดหลังสุดที่พบกัน ซึ่งถ้าดูแค่ 5 นัดหลังสุดก็เป็นไปได้ว่านัดนี้ก็ยังคงเข้าทางลิเวอร์พูลมากกว่าส่วน 5 นัดหลังสุดก่อนเตะบอลโลกทางแมนซิตี้ ชนะไป 4 แพ้อีก 1 ซึ่งนัดที่แพ้เป็นนัดล่าสุด ถ้าใครได้ดูเกมนี้แล้วเป็นซิตี้เซ่นส์บ่นยับแน่นอน เพราะด้วยการเล่นที่ดูเหมือนเซฟตัวเอง ไม่มีความกระตือรืนร้น ทำให้หลายคนแซวว่าเหมือนเล่นกลัวเจ็บแล้วไม่ได้ไปบอลโลก ส่วนทางลิเวอร์พูล ชนะไป 4 แพ้อีก 1 เช่นกัน แต่หลังจากแพ้ลีดส์ ลิเวอร์พูลก็เล่นดีขึ้นเรื่อยๆ ย้อนรอยบอลถ้วยคาราบาวนัดล่าสุดย้อนกลับไปดูนัดล่าสุดของลิเวอร์พูลและแมนซิตี้ที่เผชิญหน้ากันในการแข่งขันคาราบาวคัพในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2564 การแข่งขันเกิดขึ้นที่เอทิฮัด สเตเดี้ยม ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยแมนซิตี้เป็นทีมเหย้า การแข่งขันเป็นการแข่งขันที่สูสี โดยทั้งสองทีมสร้างโอกาสทำประตูมากมายตลอดทั้งเกมการแข่งขันเกิดขึ้นที่เอทิฮัด สเตเดี้ยม ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเหย้า การแข่งขันเป็นการแข่งขันที่สูสี โดยทั้งสองทีมสร้างโอกาสทำประตูมากมายตลอดทั้งเกม ลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในช่วงต้นเกม และทีมหวังได้ประตูขึ้นนำเร็ว ลิเวอร์พูลสร้างโอกาสมากมายในช่วงต้นเกมแต่ไม่สามารถหาประตูได้ แมนซิตี้ก็มีโอกาสค่อนข้างเยอะเช่นกัน เกมรุกของทีมดูอันตราย ขณะที่การแข่งขันดำเนินไป แมนซิตี้เริ่มแสดงความเป็นทีมที่โดดเด่น ในนาทีที่ 30 กาเบรียล เฆซุส เปิดสกอร์ให้ทีมเหย้า จ่ายบอลผ่านมือและจบบอลผ่านมือผู้รักษาประตูลิเวอร์พูลอลิสซอนอย่างมั่นใจลิเวอร์พูลต้องการตอบสนองอย่างรวดเร็วและสร้างโอกาสได้มากมายในช่วงที่เหลือของครึ่งแรก แต่ทว่าทีมยังหาประตูไม่ได้,เกมเข้าสู่ช่วงพักครึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกนำ 1-0ครึ่งหลัง แมนซิตี้ยังคงครองเกมได้ต่อเนื่อง โดยทีมยิงได้อีก 3 ประตู คว้าชัยชนะ 4-1 ไปแบบสบายๆ ริยาด มาเรซทำประตูให้เจ้าบ้านขึ้นนำในนาทีที่ 57 ก่อนที่ ฟิล โฟเด้น ยิงอีกสองประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของการแข่งขันเพื่อจบสกอร์ ลิเวอร์พูลได้ประตูคืนในนาทีที่ 89 เมื่อซาลาห์ได้จุดโทษ อย่างไรก็ตามมันสายเกินไปสำหรับลิเวอร์พูล ที่ชนะไปอย่างน่าเชื่อ 4-1 ในช่วงท้ายเกมของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ซึ่งนี่เป็นไม่กี่ครั้งที่รวมทุกถ้วย แมนซิตี้สามารถชนะลิเวอร์พูล เพราะลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แข่งแกร่ง ส่งบอลดี และบุกเกมได้เร็วกว่าแมนซิตี้ ถึงแม้ว่าแมนซิตี้จะเล่นดีหรือชนะทีมอื่นๆมาติดกันหลายนัด แต่ถ้าได้เจอกับลิเวอร์พูลจะต้องมีอุปสรรค์ตลอดไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีและรวมถึงเสียงเชียร์จากแฟนบอลของเหล่าเดอะคล็อป จำได้ว่าตอนที่แมนซิตี้ชนะลิเวอร์พูลได้ในพรีเมียร์ลีกก็เป็นนัดที่ไม่มีเสียงเชียร์ของแฟนบอล ก็คิดว่าเสียงแฟนบอลเป็นส่วนนึงของการแข่งขันที่ช่วยทีมได้มากจริงๆ หลังจากที่จบบอลโลก จะเริ่มเข้าสู่เกมการแข่งขันในลีก โดยในอังกฤษจะมีการแข่งขันบอลคาราบาวในรอบ 16 ทีม ที่เตะกันช่วงกลางติดปลายสัปดาห์ ซึ่งถือว่าไวมากๆ สำหรับการกลับมาด้วยเพราะหลังจบบอลโลกนักเตะก็ต้องพบเจอกับโปรแกรมเตะที่โหดติดๆกัน จึงทำให้นักเตะที่ไปเตะบอลโลกได้พักน้อยและอาจไม่ฟิตหลายคน ทางฝั่งแมนซิตี้มีนักเตะไป 16 คน ลิเวอร์พูล 7 คน ของทางแมนซิตี้ เปปก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "เวลานี้ มีผู้เล่นทีมชุดใหญ่แค่ 4 หรือ 5 คน และเราต้องรอดูสถานการณ์ของคนที่จะกลับมา มีผู้เล่นบางคนเพิ่งกลับมาถึง และในอีกไม่กี่วัน พวกเขาจะกลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่นี่ อย่างเป็นไปแบบตามขั้นตอน หลายคนใกล้จะกลับมาแล้ว อย่าง อาเก้, ลาปอร์ต, โรดรี้ หลังจากนั้นจะเป็นผู้เล่นจากทีมชาติอังกฤษ และโปรตุเกส" ตอนนี้นักเตะที่เจ็บมีแค่ ไคล วอคเกอร์ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทางจะหายเจ็บกลับมาแล้วหรือไม่ แต่คงต้องรออัพเดทจากทางเปปว่านักเตะที่กลับมาจากทีมชาติฟิตพอหรือไม่ก่อนเกมเจอกับลิเวอร์พูล แต่ที่พร้อมแน่นอนถ้าดูจากที่เตะบอลกระชับมิตรเมื่อคืนจะมีฮาแลนด์ เดอบรอย์ กุนโดกัน มาเรซ และโกเมซ คาดว่าทางฝั่งแมนซิตี้จัดเต็มกับชุดสำรองเป็นหลักเหมือนกับนัดก่อนหน้าที่เจอกับเชลซีส่วนทางของลิเวอร์พูล มีนักเตะเจ็บอยู่ 4 คน คือ ดิอาส โจต้า คอนนาเต้และอาเธอร์ ทางดิอาสเพิ่งได้รับการผ่าตัดเข่าต้องใช้เวลาพัก 3-4 เดือน โจต้ากับคอนนาเต้คาดว่ากำลังจะกลับมา ส่วนอาเทอร์บาดเจ็บที่ต้นขากลับมาช่วงเดือน ก.พ ปีหน้า ตัวหลักของทางลิเวอร์พูลดูค่อนข้างพร้อมกว่าทางแมนซิตี้ประมาณนึง ไม่ว่าจะเป็น ซาล่า เฟอร์มิโน่ ติอาโก้ มิเนอร์ และนูเญซ หรือเฮนเดอร์สันที่ปฎิเสธการลาพักร้อนเพื่อมาร่วมซ้อมกับสโมสร ในนัดคาราบาวล่าสุดที่เจอกับดาบี้ ทางลิเวอร์พูลได้ใช้นักเตะสำรองทั้งหมด แต่ถ้าเจอกับทีมใหญ่อาจจะผสมระหว่างสำรองกับตัวจริงด้วยเช่นกันผลคาดการณ์ในรอบนี้คาดการณ์ระบบตำแหน่งที่ใช้ของแมนซิตี้ระบบ 4-3-3 คาดการณ์ 11 ตัวจริงแมนซิตี้ผู้รักษาประตู: โอเตก้ากองหลัง: โกเมซ - อาคันจิ - อาเก้ - เลวิสกองกลาง: กุนโดกัน - ฟิลลิป - เดอบรอย์กองหน้า: มาเรซ -ฮาแลนด์ - พาลเมอร์ คาดการณ์ระบบตำแหน่งที่ใช้ของลิเวอร์พูลระบบ 4-3-3 คาดการณ์ 11 ตัวจริงลิเวอร์พูลผู้รักษาประตู: เคลเลเฮอร์กองหลัง: แรมเซย์ - มาติป - ฟานไดฟ์ - โรเบอร์สันกองกลาง: เอลเลียตต์ - เกอีต้า - ติอาโก้กองหน้า: ซาล่าร์ - เฟอมิโน - แชมเบอร์เลนเกมการเล่น: คาดว่าแมนซิตี้ครองบอลมากกว่าลิเวอร์พูล แต่ลิเวอร์พูลจะได้เปรียบเรื่องการบุกมีโอกาสทำประตูได้มากกว่าแมนซิตี้ คาดว่าผลสกอร์ 0-1 ลิเวอร์พูลเข้ารอบ (ผู้เขียนเป็นซิตี้เซ่นต์ยังไม่มั่นใจว่าระบบทีมแมนซิตี้โดยรวมจะดีมากน้อยแค่ไหน เป็นแค่การคาดการณ์จากความเป็นไปได้เท่านั้นจากที่เคยเจอกันในหลายนัด และคิดว่าอย่างน้อยนักเตะก็จะได้พักหายใจขึ้นบ้าง)<เขียนเมื่อวันที่ 18/12/2565> ขอบคุณภาพจากทางFB: ManchesterCity / 1 / 2 / หน้าปกFB: Liverpool / 3 / 4 / หน้าปกตกแต่งภาพหน้าปก Canva อัปเดตข่าวสาร ติดตามผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแบบไม่พลาดทุกนัดที่ ทรูไอดี คอมมูนิตี้ ห้อง 'ฟุตบอล'