เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ เป็นการพบกันอีกครั้งระหว่างทีมสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี และ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ในฤดูกาลนี้พวกเขาต้องดวลแข้งกันไปแล้วทั้งหมดถึง 3 เกมด้วยกัน แบ่งเป็น พรีเมียร์ลีก 2 เกม และ เกมชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ อีก 1 เกม ซึ่งเกมชิงชนะเลิศเอฟเอคัพครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 4 ที่พวกเขาต้องมาแข่งกัน เราลองมาย้อนดูเหตุการณ์ 3 เกมก่อนที่ทั้งสองทีมได้พบกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างนัดที่ 1 พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 1 - 1 เชลซี ที่สนาม Anfield เกมนัดแรกที่ทั้งสองทีมได้เจอกันในฤดูกาล 2021-22 คือพรีเมียร์ลีก นัดที่ 3 ของฤดูกาล เป็นทาง สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ที่ต้องบุกไปเยือนรังเหย้าของทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลก่อน เรียกได้ว่าเป็นการพบกันที่เร็วมากสำหรับทั้งคู่ เกมครึ่งแรกเป็นฝ่ายผู้มาเยือนเชลซีที่ทำได้ดีกว่าจนได้ประตูออกนำ 1 ประตูต่อ 0 จาก Kai Havertz ในนาทีที่ 22 แต่แล้วจังหวะท้ายเกม Reece James มาโดนใบแดงจากจังหวะแฮนด์บอลหน้าเขตเส้นประตู ทำให้ฝั่งเจ้าบ้านได้ลูกจุดโทษและเป็นทาง Mohamed Salah ที่สังหารเข้าไป และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 1 ประตูต่อ 1 เกมครึ่งหลังแทบจะเป็นฝั่งเจ้าบ้านที่ได้บุกอยู่ฝ่ายเดียว มีจังหวะสวนกลับของเชลซีอยู่น้อยครั้งแต่ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเพิ่มเติมกันได้จบลงด้วยสกอร์ 1 ประตูต่อ1 แบ่งแต้มกันไปนัดที่2 พรีเมียร์ลีก เชลซี 2 - 2 ลิเวอร์พูล ที่สนาม Stamford Bridgeเกมนัดที่สองที่ทั้งคู่พบกันคือเกม พรีเมียร์ลีกที่ครั้งนี้ ลิเวอร์พูลต้องเป็นฝ่ายออกไปเยือนทางด้าน เชลซี ที่สนาม Stamfoed Bridge เกมครึ่งแรกเป็นทางผู้มาเยือนลิเวอร์พูลได้ประตูออกนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 9 จากการทำประตูของ Sadio Mane ลิเวอร์บุกนำเชลซี 1 ประตูต่อ 0 ต่อมาลิเวอร์พูลมาได้ประตูออกนำ 2 ประตูต่อ 0 จากการทำประตูของ Mohamed Salah ในนาทีที่ 26 แต่แล้วในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 42 เชลซีได้ประตูตีไข่แตกจากการทำประตูของ Mateo Kovacic และในนาทีที่ 45+1 เชลซีได้ประตูตีเสมอจากการทำประตูของ Christian Pulisic และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 2 ครึ่งหลังทั้งสองทีมต่างมีโอกาสในการทำประตูแต่ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรกันเพิ่มเติมได้ จบเกมไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 2 แบ่งคะแนนกันไปอีก 1 เกมนัดที่ 3 นัดชิงคาราบาวคัพ เชลซี 0 - 0 ลิเวอร์พูล ( จุดโทษ เชลซี 10 - 11 ลิเวอร์พูล ) ที่สนาม Wembley Stadiumเกมนัดที่สามที่ทั้งสองทีมได้มาพบกับคือเกมนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ เกมครึ่งแรกต่างฝ่ายต่างแลกกันบุกใส่ทั้งสองฝั่งอย่างสนุกเพื่อที่จะหวังทำประตูแต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะใส่สกอร์ได้ทำให้จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0 ประตูต่อ 0 เกมครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเกือบได้ประตูขึ้นนำ ในนาทีที่ 68 เมื่อ Joel Matip โหม่งบอลเข้าประตูไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ว่า VAR บอกว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าของ Virgil Van Dijk ซะก่อนทำให้สกอร์ยังเป็น 0 ประตูต่อ 0 ต่อมาในนาทีที่ 77 เชลซีก็เกือบได้ประตูขึ้นนำเช่นกันเมื่อ Kai Havertz โหม่งบอลเข้าประตูไปแล้วแต่ว่ากรรมการยกธงล้ำหน้าเสียก่อน ทำให้ยังไม่ได้ประตูนี้ ต่อมาไม่มีใครสามารถทำอะไรกันได้ จบ 90 นาที ด้วยสกอร์ 0 ประตูต่อ 0 ต้องต่อเวลาพิเสษไปอีก 30 นาที ช่วงต่อเวลาพิเศษ ในนาทีที่ 97 เชลซีเกือบได้ประตูขึ้นนำเมื่อ Romelo Lukaku ยิงประตูเข้าไปแล้วแต่ว่ากรรมการยกธงล้ำหน้าก่อน และอีกครั้งในนาทีที่ 109 เป็นทาง Kai Haverzt ที่ซัดบอลเข้าประตูไป แต่กรรมการเจ้ากรรมยังยกธงล้ำหน้าอีกเช่นเคย ทำให้จบลงด้วยสกอร์ 0 ประตูต่อ 0 ช่วงยิงจุดโทษ ทั้งสองทีมต่างยิงกันไม่พลาดจนมาถึง Kepa Arrizabalaga ผู้รักษาประตูของทีมเชลซีที่ลงมาแทน Edouard Mendy ในช่วงยิงจุดโทษ ยิงบอลข้ามคานออกไป ทำให้ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษเชลซี 11 ประตูต่อ 10 คว้าแชมป์คาราบาวคัพไปครองถ้านับสกอร์ในเกม 90 นาที เรียกได้ว่าทั้งสองทีมต่างกินกันไม่ลงเลยทีเดียวเมื่อสกอร์ทั้ง 3 เกม จบลงด้วยการเสมอทั้งหมด ต่อมาก็ต้องมาดูกันว่าเกมที่ 4 ที่ทั้งคู่จะต้องมาแข่งกันอีกครั้งในนัดชิง เอฟเอ คัพ จะมีบทสรุปจบลงเช่นไร ลิเวอร์พูลจะสามารถคว้าอีกแชมป์ในฤดูกาลนี้ได้หรือไม่หรือจะเป็นทางเชลซีที่ล้างแค้นและคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด คืนวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม เวลา 22.45 น.รับชมถ่ายทอดสดได้ทาง beIN Sports1อ้างอิงข้อมูล : ข้อมูล 1 ข้อมูล 2 ข้อมูล 3เครดิตรูปภาพจาก Twitter Official : Chelsea, Liverpool, Carabao Cup, Fa Cupเครดิตรูปปก : รูปที่ 1 เครดิตรูปภาพประกอบ : รูปที่1 รูปที่2 รูปที่3 รูปที่ 4ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !