ในบรรดานักเขียนชั้นแนวหน้าที่พ่อชื่นชอบ ถ้าให้พ่อตอบออกมาเป็นนามปากกา พ่อก็จะต้องบอกว่า คือ “พนมเทียน” และ “ทมยันตี” ในวันที่พ่อเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วบอกว่า “ พนมเทียน ถึงแก่กรรมแล้วนะ” ลำดับแรกเลยในความรู้สึกคือ “ความเสียใจ” แต่เมื่อทำใจได้ว่านั่นคือสิ่งที่เป็นไปตามวัฏสงสาร ความรู้สึกเสียใจนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็น “ความเสียดาย” แทน เพราะนับแต่นี้ไป ก็ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้อ่านผลงานวรรณกรรมชั้นเยี่ยมยอดอย่างนวนิยาย “เพชรพระอุมา” และ “ศิวาราตรี” ของ พนมเทียน อีกไหม? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิวาราตรี ซึ่งพนมเทียนเคยบอกว่า “เป็นนวนิยายที่รักและภูมิใจที่สุดในชีวิตการเขียนหนังสือ” นอกจากนวนิยายที่คนรู้จักกันแพร่หลายอย่าง “เพชรพระอุมา” แล้ว ผลงานอันนับว่าเป็นชิ้นเอกขึ้นหิ้งอีกเรื่องหนึ่งของ พนมเทียน ก็คงจะเป็นเรื่องใดไปไม่ได้ นอกจากวรรณกรรมแนวภารตนิยายเรื่อง “ศิวาราตรี” ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยืนหยัดอยู่ในบรรณพิภพมามากกว่า 6 ทศวรรษ วันก่อนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนนักเขียนคนหนึ่ง ผมถามเขาว่า “ต่อไปเราจะมีโอกาสได้อ่านวรรณกรรมแบบอภิมหากาพย์ชั้นครูอย่าง ศิวาราตรี อีกไหม?” ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากเพื่อนคนนั้น ก็มีนักเขียนอาวุโสระดับศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่งเข้ามาตอบผมว่า “ขอตอบแทนนะคะ ไม่มีอีกแล้วค่ะ”เปิดมหากาพย์ “ศิวาราตรี” ศิวาราตรี เป็นนวนิยายขนาดยาว บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์อินเดียช่วงที่ชนเผ่าอารยันรุกคืบมายังแผ่นดินชมพูทวีปที่เป็นของชนเผ่าพื้นเมืองดราวิเดียน เมื่อราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล และสถาปนาความเชื่อตนจนกลายเป็นพระเจ้าในศาสนาฮินดู เรื่องราวโดยย่อกล่าวถึง ชาตะเวท จักรพรรดิแห่งมิลักขะผู้ครองนครเทวทหะ พระองค์ทรงมีพระมเหสีชื่อ พระนางวิชนี โดยทั้งสองมีโอรสฝาแฝดที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่สามพระองค์ ทรงพระนามว่า ทุษยันต์ เวชยันต์ และ ทัสสยุ ตามลำดับ ซึ่งในบรรดาพระโอรสทั้งสามพระองค์นี้ เวชยันต์ พระโอรสคนกลางดูเหมือนจะมีลักษณะที่พิเศษกว่าเชษฐาและอนุชาทั้งสององค์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า เวชยันต์ มีรอยเล็บราชสีห์ติดอยู่บริเวณหน้าอกเป็นเครื่องหมายติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดหลังจากที่พระโอรสทั้งสามลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ก็มีอันต้องพลัดพรากจากกัน เมื่อ พิษณุมหาราช กษัตริย์แห่งอารยันได้ยกกองทัพเข้าบุกตีนครเทวทหะในค่ำคืนหนึ่งที่เรียกว่าคืนศิวาราตรี อันเป็นคืนที่ชาวชมพูทวีปทั้งหลายยึดเอาเป็นค่ำคืนสำหรับการลอยเคราะห์บาปทั้งปวงลงสู่แม่น้ำ เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้พรากพระชนม์ชีพของจักรพรรดิชาตะเวทและพระนางวิชนีผู้บังเกิดเกล้าไปจากสามยุพราชชั่วกาล ทว่าทั้งสามพี่น้องสายเลือดมิลักขะกลับรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ ด้วยความจงรักภักดียอมพลีชีพของทหารราชองครักษ์และเหล่านางกำนัลใน ซึ่งได้ช่วยกันปกป้องคุ้มกันแอบพาสามหน่อน้อยยุพราชหนีออกมาจากนครเทวทหะได้เป็นผลสำเร็จทุษยันต์ เชษฐาคนโตได้รับความเมตตาจากนักบุญสายเลือดอารยันนามว่า สุภัททะ พระโอรสองค์เล็กนาม ทัสสยุ ได้รับความช่วยเหลือจาก กุเวร นายมายากรเผ่ามิลักขะ ส่วน เวชยันต์ พระโอรสคนกลางได้พลัดตกลงไปในแม่น้ำและรอดชีวิตราวปาฏิหาริย์โดยความช่วยเหลือของฝูงแรดน้ำ ที่ได้ช่วยกันคาบเอาเวชยันต์ไปวางไว้บริเวณริมฝั่งน้ำ จนนางสิงห์ได้มาพบเข้าจึงได้นำเอาเวชยันต์ไปเลี้ยงดูในถ้ำพร้อมกับลูกสิงห์ทั้งสองของนาง เมื่อ นกุลา ขุนโจรแห่งทุ่งพยัคฆินสาไปพบเวชยันต์เข้า เวชยันต์จึงได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของรังโจร จวบจนกระทั่งเจริญวัยเป็นหนุ่มทัสสยุ ยุพราชองค์น้องสุดทรงเจริญวัยไปตามกาลเวลา โดยที่พระองค์ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าตนเป็นโอรสของจอมจักรพรรดิ เพราะนายกุเวรไม่เคยบอกความจริงข้อนี้ให้พระองค์ทราบ ทัสสยุจึงเป็นเพียงลูกชายของนายกุเวรเท่านั้นในสายตาของคนทั่วไป วันหนึ่ง ทัสสยุ ได้มีโอกาสช่วยเหลือ สุโณ ชายแก่ต่างถิ่นให้รอดพ้นจากการถูกรุมทำร้ายของชาวบ้าน โดยการขอร้องของ โรหิตา บุตรีของ จารุทัตต์ ผู้เป็นปุโรหิตของพิษณุมหาราช ซึ่งในขณะนั้นเอง ทัสสยุ ก็รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกสะกดรอยตามจากบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งดูไม่ประสงค์ดีนักทัสสยุ จึงได้หลบหนีเข้าไปพรางตัวอยู่ในสระแก้ว ซึ่งเป็นสระน้ำภายในอาณาบริเวณของพิษณุมหาราช ซึ่งที่สระแก้วนี่เอง ที่ทัสสยุได้พบกับ เจ้าหญิงยามาระตี พระธิดาผู้เลอโฉมของพิษณุมหาราช แต่ถึงแม้ว่า ทัสสยุ จะได้พบกับ เจ้าหญิงยามาระตี ทัสสยุก็ยังคงคิดว่าคนที่เขาได้พบได้พูดคุยด้วยนั้นก็คือ โรหิตา บุตรสาวของจารุทัตต์ปุโรหิตนั่นเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าหญิงยามาระตีและโรหิตานั้น มีรูปร่างหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกันมากจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครนั่นเองกล่าวถึง ทุษยันต์ เชษฐาคนโต หลังจากที่อยู่รับใช้นักบุญ สุภัททะ ได้ไม่นาน ทุษยันต์ก็มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ภายใต้ร่มบารมีของกษัตริย์กบิลพัสดุ์ในฐานะบุตรบุญธรรม ทั้งนี้ก็เพราะว่ากษัตริย์แห่งกบิลพัสดุ์นั้นมีเพียงพระราชธิดาองค์เดียว ไม่มีโอรส ตำแหน่งมกุฎราชกุมารแห่งกบิลพัสดุ์นี่เอง ทำให้เส้นทางชีวิตของ พิษณุมหาราช และ ทุษยันต์ หน่อเนื้อเชื้อสายแห่งมิลักขะได้โคจรมาพบกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่ากบิลพัสดุ์นั้นถือเป็นอารยันเมืองหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของพิษณุมหาราช และหากจะนับลำดับพระประยูรญาติแล้ว นักบุญสุภัททะก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลของพิษณุมหาราชเลย หากแต่มีศักดิ์เป็นถึงพระปิตุลาของพิษณุมหาราชนั่นเองกล่าวถึง เจ้าหญิงยามาระตี ธิดาผู้เลอโฉมแห่งพิษณุมหาราช ด้วยความที่พระองค์มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันกับ โรหิตา บุตรสาวของจารุทัตต์ปุโรหิตมากจนแยกไม่ออก พระองค์จึงแอบเปลี่ยนตัวกับโรหิตาอยู่บ่อยครั้ง เพื่อออกไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ นอกเขตพระราชวัง โดยที่จารุทัตต์ปุโรหิตและพิษณุมหาราชไม่เคยล่วงรู้ อยู่มาคืนหนึ่งเจ้าหญิงยามาระตีได้แอบหนีออกไปเที่ยวที่ป่าช้าเดียรถีย์ พร้อมกับ ทักษะ ทาสบุรุษร่างยักษ์ผู้เป็นองครักษ์ ณ ป่าช้าเดียรถีย์นี่เองที่เจ้าหญิงได้พบกับ เวชยันต์ เจ้าหญิงจึงให้ทักษะจับตัวเวชยันต์ไว้ แล้วพาไปซ่อนยังปราสาทของโรหิตาวันหนึ่ง พิษณุมหาราช มีโอกาสได้พบกับ ทัสสยุ ในขณะที่พระองค์กำลังออกไปบริจาคทาน พระองค์รู้สึกถูกชะตากับทัสสยุมาก จึงได้เรียกทัสสยุเข้าเฝ้า และมอบหมายให้ทัสสยุออกเดินทางเที่ยวไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อขับลำนำป่าวประกาศถึงความงามของเจ้าหญิงยามาระตีผู้เป็นราชธิดา ระหว่างทางทัสสยุได้พบกับโรหิตา และ ดุสิดา บุตรีของนายสินธุ โรหิตาก็เข้าใจว่าทัสสยุเป็นคนๆเดียวกันกับเวชยันต์ เพราะทั้งสองมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมาก แต่เมื่อนางกลับไปยังปราสาทแล้วพบว่าเวชยันต์ยังคงอยู่ที่ปราสาทของนาง จึงทำให้โรหิตาทราบว่าทัสสยุและเวชยันต์ไม่ใช่คน ๆ เดียวกันเวชยันต์ หนีออกมาจากปราสาทของโรหิตาได้เป็นผลสำเร็จ ระหว่างได้พบกับ อัสสกัณฑ์ แห่งแคว้นวิธัญญา ซึ่งเป็นคู่ปรับกับ ทุษยันต์ มาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ เมื่ออัสสกัณฑ์ได้พบกับเวชยันต์ก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นทุษยันต์ จึงคิดโรมรันทำร้าย แต่โชคดีที่ดุสิดาเข้ามาช่วยไว้ได้ทันและคิดพาเวชยันต์ไปหานายสินธุผู้เป็นบิดา แต่ขุนโจรนกุลาซึ่งกำลังออกตามหาเวชยันต์มาพบเข้าพอดี นกุลาก็เลยพาเวชยันต์กลับหุบผาแห่งทุ่งพยัคฆินสา ในขณะที่สินธุก็ได้สั่งให้ดุสิดาผู้เป็นบุตรสาวสะกดรอยทางทัสสยุไปในทุก ๆ ที่ ซึ่งดุสิดาผู้เป็นบุตรีก็ไม่ได้ทำให้สินธุผิดหวังในขณะที่ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนอยู่นั้น ทั้งดุสิดาและทัสสยุไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ขณะนี้ผู้เป็นบิดาของตนคือ สินธุ และ กุเวร ได้ถูก พิษณุมหาราชจับกุมตัวเอาไว้แล้ว โดยพิษณุมหาราชได้ประกาศกำหนดราชพิธีสมโภชและให้หัวเมืองอารยันต่าง ๆ เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งหนึ่งในบรรดาหัวเมืองเหล่านั้น ก็มีอัสสกัณฑ์จากแคว้นวิธัญญาและมกุฎราชกุมารทุษยันต์จากกบิลพัสดุ์รวมอยู่ด้วยเมื่ออัสสกัณฑ์เดินทางไปถึงนครเทวทหะ พบว่าสินธุซึ่งเคยเป็นมัคคุเทศก์ของตนถูกกุมขังอยู่ อัสสกัณฑ์จึงได้ขอประทานอภัยโทษสินธุจากพิษณุมหาราช ซึ่งพิษณุมหาราชก็ทรงยินยอม เหตุการณ์ในช่วงนั้นตรงกับวันคล้ายวันประสูติของเจ้าหญิงยามาระตีพอดี พิษณุมหาราชจึงได้จัดยุทธกรีฑาขึ้น ซึ่งในยุทธกรีฑาครั้งนี้ อัสสกัณฑ์และทุษยันต์ก็ต้องลงประลองฝีมือด้วยด้วยความที่อัสสกัณฑ์ผูกใจเจ็บต่อทุษยันต์มาก่อน อัสสกัณฑ์จึงเล่นไม่ซื่อแอบลอบทำร้ายทุษยันต์ในขณะที่กำลังประลองฝีมือกันในป่าเปลี่ยวนอกพระราชวัง ทุษยันต์ซึ่งไม่ทันระวังพระองค์ก็เลยเสียทีถูกลอบทำร้าย สลบอยู่กลางป่าเปลี่ยวนั้น เวชยันต์ซึ่งกำลังซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ จึงได้โอกาสสวมรอยเป็นทุษยันต์เดินทางกลับเข้าไปในเมืองแทนแต่ถึงแม้ว่า เวชยันต์ จะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับทุษยันต์เพียงใดก็ตาม ทว่ากิริยาท่าทาง การพูดการจา ตลอดจนถึงอัชฌาสัยของทั้งสองคนก็ยังคงแตกต่างกัน จึงทำให้ สุรินทรา เจ้าชายอารยันองค์น้อยแห่งรามคาม ผู้เคารพและสนิทเสน่หาในตัวเจ้าชายทุษยันต์อดเกิดความสงสัยไม่ได้ แต่กว่าสุรินทราจะล่วงรู้ความจริง เวชยันต์ก็ได้หนีออกจากเมืองไปเสียแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงทำให้ทุษยันต์ต้องทัณฑ์บนกลายเป็นจำเลยไปโดยปริยาย ดังนั้นเมื่อทุษยันต์ฟื้นสติและได้กลับเข้ามาในนครเทวทหะ ทุษยันต์จึงต้องแก้ทัณฑ์บนนั้น โดยการออกติดตามตัวบุคคลลึกลับผู้มีหน้าตาละม้ายคล้ายกันกับตนมารับโทษทัณฑ์ให้ได้พิษณุมหาราช ได้ทำพิธีอัศวเมธปล่อยม้าอุปการเป็นประกาศแห่งการล่าอาณานิคม แต่ม้าอุปการเหล่านั้นกลับถูกฝูงสิงห์รุมกัดกินที่ทุ่งพยัคฆินสา พระองค์จึงสั่งให้แม่ทัพจากหัวเมืองอารยันทั้งน้อยใหญ่ออกไปล่าสิงห์ โดยพิษณุมหาราชได้ประกาศออกไปว่าในขบวนล่าสิงห์นี้ พระองค์จะให้เจ้าหญิงยามาระตีออกเดินทางไปด้วยในฐานะตัวแทนพระองค์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่แม่ทัพนายกองทั้งหลาย เจ้าหญิงยามาระตีทรงทราบดีอยู่แล้วว่าพระบิดาจะต้องวางแผนให้โรหิตาซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายกันกับตน สวมรอยไปในขบวนการล่าสิงห์ครั้งนี้แทนอย่างแน่นอน ก็เลยบอกอุบายให้โรหิตาสวมรอยกลับคืนอีกทีโดยที่พิษณุมหาราชไม่มีโอกาสล่วงรู้เมื่อขบวนล่าสิงห์ไปถึงยังหุบเขาแห่งทุ่งพยัคฆินสา ในระหว่างที่ราชองครักษ์และแม่ทัพน้อยใหญ่กำลังชุลมุนกันอยู่นั้น เวชยันต์ก็ได้ถือโอกาสเข้ามาจับตัวเจ้าหญิงยามาระตีไป เจ้าหญิงได้ขอร้องให้เวชยันต์พาตนกลับไปส่งคืนยังพระนครของพระบิดา ซึ่งเวชยันต์ก็ยินดีทำตาม ในขณะที่ ดุสิดา ก็ได้พาตัวกุเวร มามอบให้แก่ สินธุ ผู้เป็นบิดา คืนนั้นทั้งสามคนซึ่งได้แก่ สินธุ กุเวร และ นกุลา ต่างก็เล่าความเป็นมาของสามยุพราช คือ ทุษยันต์ เวชยันต์ และ ทัสสยุ ให้กันและกันฟัง ทำให้ ดุสิดา ได้ทราบความจริงว่า ทัสสยุ บุรุษที่ตนกำลังหลงรักนั้นไม่ใช่ชายคนธรรมดาสามัญ แต่เป็นถึงเจ้าชายแห่งสายเลือดมิลักขะทายาทของจักรพรรดิชาตะเวทผู้เกรียงไกร อีกทั้ง สินธุ ผู้เป็นบิดาของตนก็ไม่ใช่พ่อค้าธรรมดาสามัญ หากแต่เป็นถึงขุนพลเอกวรุต ในครั้งที่กษัตริย์ชาตะเวทยังเป็นจอมจักรพรรดิเวชยันต์พลาดถูกจับกุมในขณะที่เขาพาเจ้าหญิงยามาระตีกลับไปส่งที่พระนคร ทุษยันต์จึงได้กลับเข้าเมืองอย่างผู้บริสุทธิ์ พิษณุมหาราชได้ขอความเห็นจากเจ้าหญิงยามาระตีว่าจะลงโทษเวชยันต์ประการใดดีให้สาสมกับความผิด เจ้าหญิงยามาระตีซึ่งกำลังหาทางช่วยเหลือเวชยันต์อยู่ได้โอกาส จึงกราบทูลให้พระราชบิดานำตัวเวชยันต์ไปทิ้งในกรงสิงห์ที่เลี้ยงไว้ ซึ่งพิษณุมหาราชก็ทรงเห็นสมควร ด้วยหวังว่าบรรดาสิงห์ที่กำลังหิวกระหายคงจะรุมกันกัดทึ้งกินเวชยันต์เป็นอาหารอย่างแน่นอน ทว่าเวชยันต์กลับสามารถหลบหนีออกไปได้โดยความช่วยเหลือของบรรดาสิงห์เหล่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าในวัยเยาว์เวชยันต์เคยเติบโตมาพร้อมกับเหล่าสิงห์นั่นเองทัสสยุได้พบกับดุสิดาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เธอได้นำสาสน์จากกุเวรมามอบให้ทัสสยุฉบับหนึ่ง ซึ่งเมื่อทัสสยุเปิดอ่านก็ได้ความว่า ขอให้ทัสสยุรีบไปพบโดยด่วน และแล้วในที่สุด ทุษยันต์ เวชยันต์ และ ทัสสยุ ยุพราชสามพี่น้องได้พบกันโดยความร่วมมือของ สินธุ นกุลา และ กุเวร ทั้งสามต่างเล่าความเป็นมาของตนให้กันฟัง อดีตขุนพลอย่าง สินธุ ได้แนะให้ทั้งสามคนช่วยกันรวมกำลังชาวมิลักขะที่เหลืออยู่ลุกขึ้นกอบกู้ชาติ แต่ทุษยันต์ได้ขอปฏิเสธ ทั้งนี้ก็เพราะยึดถือในคำสัตย์ที่เคยให้ไว้กับนักบุญสุภัททะผู้มีพระคุณเคยชุบเลี้ยง ว่าจะไม่ทรยศชาวอารยัน จึงทำให้เวชยันต์โกรธพี่ชายมาก เพราะเข้าใจว่าพี่ชายของตนเห็นอารยันสำคัญกว่าสายเลือดมิลักขะด้วยกัน!ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวโดยสรุปย่นย่อที่สุดในส่วนครึ่งแรกของ ศิวาราตรี นวนิยายที่ประพันธกรชั้นครูอย่าง “พนมเทียน” บอกว่า “เป็นนวนิยายที่รักและภูมิใจที่สุดในชีวิตการเขียนหนังสือ” ในขณะที่ เพชรพระอุมา นั้น “เปรียบเสมือนตัวของ“พนมเทียน”เอง เป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์กว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต”ศิวาราตรี : เหตุใดจึงไม่มีนักเขียนคนไหนทำได้อีก? ศิวาราตรี เป็นวรรณกรรมร่วมสมัยที่หอมตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวรรณคดี บอกเล่าเรื่องราวผ่านภาษาที่สละสลวย เหมาะสมกับห้วงเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามท้องเรื่อง จนสามารถพาปีกแห่งจินตนาการของผู้อ่านโบยบินไปสู่ชมพูทวีปเมื่อสมัยก่อนพุทธกาลได้อย่างง่ายดาย ภาพพจน์โวหารที่ พนมเทียน ใช้ในการประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้ ประหนึ่งกระจกวิเศษที่สามารถนำเสนอภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นผลทำให้ผู้อ่านเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลินไปกับจินตนาการอันบรรเจิดเหล่านั้นจนวางไม่ลง ผ่านมุมมองการเล่าเรื่องของผู้แต่งเองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่ได้ลำเอียงหรือใช้น้ำเสียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลยนอกจากจะทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องที่ดีแล้ว พนมเทียน ยังเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาลักษณะนิสัยของตัวละครต่าง ๆ ด้วยตนเอง จึงทำให้ตัวละครทุกตัวที่โลดแล่นอยู่ใน ศิวาราตรี ล้วนแล้วแต่เป็นตัวละคร‘สีเทา’ที่มีความเป็นปุถุชนอันบกพร่อง ดูสมจริงทุกตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ดูโหดเหี้ยมที่สุดอย่างพิษณุมหาราช ที่ในท้ายที่สุดก็ยังคงหนีไม่พ้นอาการเสียววูบในหัวใจ เมื่อพระองค์จำต้องหักใจสั่งปลิดชีวิตของโรหิตาผู้เป็นบุตรีของปุโรหิตคนสนิท หรือแม้กระทั่งเจ้าหญิงยามาระตีที่ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นสตรีที่ดำเนินชีวิตด้วยหลักของเหตุผลมาตลอดเรื่อง แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ได้สำแดงอารมณ์ของหญิงสาวทั่ว ๆ ไปออกมาให้เห็น โดยการยอมตายพร้อมกับชายที่เธอรัก เป็นต้น ศิวาราตรี ไม่ได้เป็นนวนิยาย‘ขึ้นหิ้ง’ด้วยความดีเด่นเพียงแค่ในเรื่องของกลวิธีการแต่ง โครงเรื่องที่สลับซับซ้อน ตัวละครที่ดาษดากันเข้ามาราวอภิมหากาพย์ และความงดงามทางวรรณศิลป์เท่านั้น ในส่วนของภาพสะท้อนสังคม ค่านิยม และคตินิยมต่าง ๆ ศิวาราตรี ก็สามารถบันทึกเอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะภาพสะท้อนสังคมของคนชมพูทวีปในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกอบพิธีลอยบาปในคืนศิวาราตรี การเสี่ยงม้าอุปการในพิธีอัศวเมธ การเข้าพิธีสุทธิ ฯลฯ เป็นต้นพนมเทียน ได้นำเสนอค่านิยมต่าง ๆ ของคนชมพูทวีปในสมัยนั้น ออกมาให้ผู้อ่านได้รับรู้อย่างแนบเนียนโดยสื่อผ่านทางตัวละครของเขา เช่น ค่านิยมของคนในสังคมที่มีต่อบุคคลซึ่งมีความซื่อสัตย์ เด็ดเดี่ยว และมีคุณธรรม เชื่อแน่ว่าผู้อ่านหลายคนอาจจะต้องเสียน้ำตาให้กับทุษยันต์ที่กล้าบั่นคอตนเองเพื่อแลกกับการรักษาศีรษะของน้องชายตน หดหู่ใจไปกับเจ้าหญิงมาณวิกาที่ตัดสินใจกระโดดเข้ากองไฟตายตามทุษยันต์ผู้เป็นพระสวามี เศร้าใจไปกับชะตากรรมของโรหิตาผู้ยอมพลีกายให้ชายที่ตนไม่ได้รักจนกระทั่งยอมตายเพื่อบ้านเมืองของตนเอง สะเทือนใจไปกับจารุทัตต์ปุโรหิตที่จำต้องตัดสินใจปล่อยลูกธนูไปปลิดชีวิตลูกสาวของตนเองกลางสนามรบ และนับถือในน้ำพระทัยของพระมเหสียามาระตีพระราชมารดาของเจ้าหญิงยามาระตีที่กล้ากระโดดลงไปในหุบเขาปลิดชีวิตตนเองเพื่อแลกกับการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของชาวมิลักขะเผ่าพันธุ์ของตน จนแม้กระทั่งพิษณุมหาราชยังต้องยอมรับในน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยวนั้น โวหารของพนมเทียน เป็นการทำงานของกระบวนการทางวรรณศิลป์ที่ทำให้ทำให้ผู้อ่านเสมือนได้ไปยืนอยู่บนหุบผาแห่งทุ่งพยัคฆินสา แล้วมองดูเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นด้วยตาของตัวเอง ตัวอักษรของ พนมเทียน ทำให้นักอ่านได้สัมผัส ได้ยินเสียง มองเห็นภาพ รับรสชาติ และมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปด้วยราวกับเราได้เข้าไปยืนอยู่ในเหตุการณ์นั้นพร้อมกับตัวละคร ซึ่งมีนักเขียนอยู่เพียงไม่กี่คนที่จะทำได้เช่นนี้ และ พนมเทียน ก็‘ยืนหนึ่ง’อยู่ในนั้น ... อีกทั้งยังเป็นการยืน (หยัด) อันยากยิ่งที่จะหาผู้ใดไปเทียบเทียม! ขอขอบคุณภาพจาก PIC 1 : Thairath / PIC 2-6 : ภาพโดยผู้เขียน