ปัจจุบันทั่วโลกกำลังต่อสู้กับภัยร้ายทางโรคระบาดครั้งใหญ่ COVID-19 หลังการระบาดของโรคที่เริ่มต้นเมื่อเดือนธันวาคมปี 2019 ณ นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน มนุษย์ได้ทำการวิจัยสาเหตุ ค้นพบการรักษา และมีวัคซีนที่จะต่อกรกับวายร้ายสายพันธุ์ใหม่ได้แล้วภายในเวลาหนึ่งปีกว่า ซึ่งถือว่ารวดเร็วมากหากเทียบกับ "เหตุการณ์โรคระบาดในอดีต" แน่นอนว่าเป็นเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์และการเผยแพร่ข่าวสารที่รวดเร็ว แต่ถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆพัฒนามากขึ้นเพียงใด มนุษย์ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าโรคนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยากจะควบคุมและมีผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง แล้วในอดีตล่ะ อดีตที่โลกยังไม่รู้จักวัคซีน อดีตที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า อดีตที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคเพราะขาดปัจจัยที่เรียกว่าเทคโนโลยี พวกเขาผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ความสงสัยเหล่านี้จะนำคุณไปสู่สิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึง นั่นก็คือเหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่คร่าชีวิตคนมหาศาล "กาฬโรค"ช่วงคริสต์ศักราช 541 เกิดโรคประหลาดขึ้น ณ กรุงคอนแสตนติโนเปิล ผู้ป่วยมีอาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายมีอาการปอดบวม ติดเชื้อในกระแสเลือด เนื้อตาย และหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นอาการที่รุนแรงมาก และแน่นอนว่าการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้ามากพอที่จะสามารถรักษาและยับยั้งสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จึงเกิดความเชื่อและการวินิจฉัยแบบผิดๆ เช่น เชื่อว่าสาเหตุของกาฬโรคมากจาก miasma หรืออากาศเสียที่เป็นพิษ สามารถป้องกันรักษาได้ด้วยหัวหอม กระเทียม กำยาน กานพลู น้ำส้มสายชู หรือแม้แต่สารหนู ด้วยการแพทย์ที่ยังไม่พัฒนาส่งผลให้การระบาดขยายวงกว้าง กินเวลามาจนถึงคริสต์ศักราชที่700 จนประชากรในยุโรปลดลงมากกว่าครึ่งและเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่และทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าการระบาดครั้งที่สองเริ่มต้นในคริสต์ศักราช 1334 ณ มณฑลหูเปย์ (คุ้นชื่อกันใช่ไหม บ้านเกิดของเจ้าโควิดยังไงล่ะ) มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และด้วยความที่จีนเป็นประเทศแห่งการค้า ข้อดีข้อนี้จึงเป็นชนวนแพร่เชื้อตัวดีทำให้กาฬโรคแพร่ผ่านเส้นทางสายไหม กระจายสู่ประเทศในทวีปเอเชียซึ่งรวมประเทศไทยในสมัยพระเจ้าอู่ทองด้วย นอกจากนี้ยังมีรัสเซีย อินเดีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง จนกระทั่งไปถึงกรุงคอนแสตนติโนเปิลและเข้าสู่ยุโรปในเวลาต่อมา รวมถึงอิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และอีกหลายเมืองใหญ่ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรปนับ25ล้านคน (ขอย้ำว่าแค่ในยุโรป) ตัวเลขมหาศาลนี้ทำให้ศึกการระบาดครั้งยิ่งใหญ่ได้รับการขนานนามว่า The black death หรือ เหตุการณ์กาฬมรณะ นั่นเอง ความร้ายของกาฬโรคยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ในย่อหน้าต่อไปเรากำลังเข้าสู่เหตุการณ์ระบาดครั้งที่ 3 การระบาดครั้งสุดท้ายที่มาพร้อมกับการค้นพบครั้งใหม่ที่จะเปลี่ยนเหตุการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้นได้อย่างพลิกผันคริสต์ศักราช 1855 พบผู้ป่วยกาฬโรคที่มลฑลยูนนาน ประเทศจีน ขอเดาว่าคุณกำลังอุทานคำว่า "จีนอีกแล้ว" อยู่ในใจแน่ๆ ซึ่งถ้าเดาผิดก็ขอให้คุณปล่อยผ่านประโยคเมื่อครู่นี้ไปแล้วกลับเข้าสู่เนื้อหาของเรา อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าประเทศจีนเป็นเมืองค้าขาย จึงเกิดการระบาดแพร่ไปในวงกว้าง เรียกได้ว่าเกิดการระบาดทั่วโลกอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการระบาดในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตลดลงมาก แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอยู่ นั่นก็คือราว12ล้านคน ในความโชคร้ายย่อมมีความโชคดี ในที่สุดก็มีการคิดค้นกล้องจุลทรรศน์ และในคริสต์ศักราช 1894 ได้มีการค้นพบแบคทีเรีย Yersinia pestis ตัวปัญหาที่สร้างความหายนะให้กับคนทั่วโลกและผู้ค้นพบก็ได้แก่ Alexandre Yersin แพทย์และนักแบคทีเรียชาวฝรั่งเศส สถานการณ์เริ่มคลี่คลายหลังจากการค้นพบว่าแบคทีเรียต้นปัญหานี้มาจากหนูหรือสัตว์ฟันแทะ ซึ่งสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้โดยมีหมัดเป็นพาหะหรือการสัมผัสเชื้อจากสัตว์โดยตรง และยังสามารถแพร่จากคนสู่คนได้ผ่านสารคัดหลั่งจากทางลมหายใจ จึงไม่แปลกที่การระบาดจะแพร่กระจายไปยังทั่วโลกอย่างง่ายดาย เมื่อค้นพบแบคทีเรียแล้วมนุษย์ก็สามารถคิดค้นวัคซีนและวิธีการรักษาขึ้นมาได้ดังนั้นสถานการณ์จึงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งการระบาดสิ้นสุด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหมดสิ้น ยังพบการระบาดอยู่เป็นระยะในประเทศต่างๆ และสำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนี้เป็นข่าวดีที่ไม่พบผู้ป่วยกาฬโรคมาเป็นระยะเวลาเกือบ70ปีแล้วโดยพบการระบาดครั้งสุดท้ายในปีพุทธศักราช2495เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เราได้ตระหนักว่าโรคระบาดเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกมนุษย์มาหลายยุคหลายสมัยและถึงแม้เทคโนโลยีจะพัฒนามากเพียงใด ก็ยังหลีกเลี่ยงการเกิดโรคระบาดไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการควบคุมและยับยั้ง ตัวอย่างเช่นในปัจจุบันที่โลกได้พบกับไวรัสตัวใหม่ที่สร้างความสูญเสียมหาศาล ถือเป็นความโชคดีที่พวกเราอยู่ในยุคเทคโนโลยีที่ถือเป็นอาวุธต่อกรกับโรคระบาดได้ สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอให้ทุกคนป้องกันตัวเอง ป้องกันผู้อื่น ป้องกันกันและกัน แล้วเราจะสามารถผ่านเหตุการณ์ที่ยากเย็นนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ขอให้ทุกคนมีรอยยิ้มในทุกๆวันนะคะ แล้วพบกันใหม่ .ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปก โดย darksouls1 /รูปภาพประกอบที่ 1 โดย csamhaber /2 โดย TheAndrasBarta /3 โดย Bergadder /4 โดย neelam279 เปิดประสบการ์ณความบันเทิงที่หลากหลายสุดปังบน App TrueID โหลดเลย ฟรี!