สวัสดีครับเพื่อนๆชาว True ID In-Trend เพื่อนๆทุกคนเคยรู้กันหรือไม่ครับว่าจริงๆแล้วรถยนต์ไฟฟ้านั่นมันจะต้องคุยกับเครื่องชาร์จเพื่อตกลงเจรจาอะไรบางอย่างกันก่อนที่จะเริ่มกระบวนการชาร์จครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปคุยกับรถยนต์ไฟฟ้าให้รู้เรื่องแบบจริงจังกันเลยครับว่ามันพูดคุยอะไรกับเครื่องชาร์จบ้าง และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านได้เข้าใจว่าสิ่งที่รถยนต์ไฟฟ้าต้องการคืออะไรครับ เริ่มจากสิ่งที่ต้องรู้กันก่อนในตอนแรกเลยนะครับนั่นก็คือการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นหัวใจหลักของการสื่อสารซึ่งจะแบ่งออกเป็น 5 สถานะครับตามมาตรฐานของ IEC ซึ่งประกอบไปด้วยสถานะที่ 1 รถยนต์ไฟฟ้าไม่ถูกเชื่อมต่อ (State A - Vehicle not Connected)สถานะที่ 2 รถยนต์ไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อ,ยังไม่ชาร์จ (State B - Vehicle connected, not readyสถานะที่ 3 รถยนต์ไฟฟ้ากำลังชาร์จ,ไม่ต้องการการระบาย (State C - Charging, no ventilation)สถานะที่ 4 รถยนต์ไฟฟ้ากำลังชาร์จ,ต้องการการระบาย (State D - Charging, ventilation required)สถานะที่ 5 ขัดข้อง (State E - Error) ที่นี้เมื่อเรารู้จักสถานะของการชาร์จครบทุกสถานะแล้วต่อไปเราจะมาดูกันว่าเครื่องชาร์จกับรถยนต์ไฟฟ้ามันคุยอะไรกันบ้างครับ เริ่มจากสถานะปกตินั่นก็คือตอนที่เครื่องชาร์จอยู่เฉยๆไม่ได้เสียบกับรถยนต์ไฟฟ้า ในช่วงเวลานี้เครื่องชาร์จก็จะคงสถานะอยู่ใน State A ตลอดเวลานั่นเองครับ แต่เมื่อไหร่ที่มีรถยนต์ไฟฟ้ามาเสียบสายชาร์จเข้ากับตัวรถ สถานะจะถูกเปลี่ยนจาก State A เป็น State B ทันทีครับ ในสถานะนี้สิ่งที่เครื่องชาร์จทำเป็นอันดับแรกเลยนั่นก็คือโฆษณาตัวเองให้รถยนต์ไฟฟ้าฟังว่าเรามีความสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุดได้เท่านี้นะ ยกตัวอย่างเช่นเครื่องชาร์จโฆษณาว่าตัวมันเองนั้นมีความสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 16A เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าได้ฟังคำโฆษณานี้แล้วมันก็จะรู้ได้ว่าเครื่องชาร์จนี้มันมีความสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้เท่านี้นะ แต่สิ่งที่รถยนต์ไฟฟ้าจะทำเป็นอันดับต่อไปนั่นก็คือตัดสินใจว่าจะให้เครื่องชาร์จจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มันเท่าไหร่ เพราะว่าตัวรถยนต์ไฟฟ้าเองมันก็ย่อมรู้ว่าตัวมันเองนั้นมีความสามารถในการรับกระแสไฟฟ้าได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นมันก็จะสั่งให้เครื่องชาร์จเปลี่ยนไปเป็น State C พร้อมกับบอกเครื่องชาร์จว่าให้จ่ายกระแสมามากหรือน้อยตามที่มันต้องการ ยกตัวอย่างเช่นรถยนต์ไฟฟ้าสามารถรับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดแค่ 10A มันก็จะดึงกระแสไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จมาเพียง 10A เท่านั้น ทั้งๆที่เครื่องชาร์จมันโฆษณาว่ามันสามารถจ่ายได้สูงสุดถึง 16A ข้อนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้ไว้เสมอเลยว่ารถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นที่เป็นผู้เลือกว่าจะชาร์จที่กระแสไฟฟ้าเท่าไหร่ไม่ได้เลือกตามกระแสที่เครื่องชาร์จโฆษณามา เพราะฉะนั้นต่อให้ประชาชนคนทั่วไปที่ไปเดินเลือกซื้อเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเลือกซื้อเครื่องที่มันจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงขนาดไหน สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับรถยนต์ไฟฟ้าของคุณเองเท่านั้นที่จะเลือกว่าชาร์จด้วยกระแสไฟฟ้าเท่าไหร่ หลักการทั้งหมดนี้เป็นหลักการที่เกิดขึ้นเหมือนกันหมดทั้งรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ (Battery Electric Vehicle, BEV) และรถยนต์ไฮบริดชนิดเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicle, PHEV) มาถึงตรงนี้อาจจะมีคนสงสัยว่าแล้ว State D คืออะไรไม่เห็นได้ใช้สักที และการระบาย (Ventilation) คืออะไร ก่อนอื่นต้องอธิบายว่าการระบายที่พูดนี้หมายถึงการระบายไอก๊าซบางชนิดของแบตเตอรี่ อธิบายง่ายๆก็คืออย่างที่เรารู้กันว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นก็จะต้องมีแบตเตอรี่ และแบตเตอรี่นี้เองก็สามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิดมากมายเช่น Li-ion เป็นต้น แต่มันจะมีแบตเตอรี่อยู่ประเภทหนึ่งที่เวลาชาร์จแล้วมันจะมีการปล่อยก๊าซบางชนิดออกมาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการลุกไหม้ได้ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าบางประเภทที่ใช้แบตเตอรี่ประเภทนี้จะต้องมีการเปิดพัดลมระบายก๊าซที่เกิดขึ้นจากการชาร์จนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าทุกคันจะต้องการระบบการระบายแบบนี้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรถยนต์ไฟฟ้าเองเท่านั้นที่จะเลือกว่าจะเข้าสู่ State C หรือ State D เพราะตัวรถยนต์ไฟฟ้าเองเท่านั้นที่เป็นคนเดียวที่รู้ จะมาหวังว่าให้เครื่องชาร์จรู้ก็เป็นไปไม่ได้ครับเช่นเดียวกับการเลือกกระแสไฟฟ้าในการชาร์จที่รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นคนเลือกเองนั่นเองครับขอบคุณภาพจาก รูปภาพหน้าปก : Pxfuel/ รูปภาพ 1 : Flickr/ รูปภาพ 2 : Wikimedia/ รูปภาพ 3 : Pxhere