รัฐบาลคลายล็อกประชาชนคลายเครียด การออกแถลงการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมาโดยมีสาระสำคัญคือวันที่ 1พฤศจิกายนจะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว 10 ประเทศแรกเป็นการเบื้องต้น เช่น จากประเทศสิงคโปร์ ออสเตรเลีย อเมริกา อังกฤษและจีนเป็นต้น และหลังจากนั้นในเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นปีก็จะพิจารณาเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องกักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของประเทศไทยที่มีความเกี่ยวข้องตั้งแต่ธุรกิจในระดับมหภาคไปจนถึงจุลภาคในระดับชุมชนตลอดมานั้น เมื่อเกิดสถานการณ์โควิดระบาดก็กระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า การที่ประเทศไทยอดทนมาเกือบสองปีเต็มแล้วประกาศจะเปิดประเทศนั้น ส่งผลให้ประชาชนในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความยินดีเป็นยิ่งนัก เพราะธุรกิจต่างๆจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปทันที กล่าวคือเมื่อรัฐบาลคลายล็อกประชาชนก็จะคลายเครียดนั่นเอง และมีสิ่งที่ดีในทางจิตวิทยาสองประการดังต่อไปนี้ 1) ประชาชนสมหวัง ความคาดหวัง(expectations)ที่หวังว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวก็ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสมหวังกัน และบรรลุความต้องการโดยถ้วนหน้า การคาดหวังแล้วสมหวังนั้นส่งผลต่อปัจจัยทางจิตวิทยาให้คนเราเกิดความอิ่มใจ ภูมิใจ ชีวิตมีความหวังและมีความหมายขึ้นมาทันทีว่าธุรกิจจะดีขึ้นนั่นเอง 2 ประชาชนเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ การมีความหวัง(hopes)หรือการเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้น โดยเฉพาะปลายอุโมงค์ที่เชื่อว่าเมื่อเปิดประเทศแล้วธุรกิจการท่องเที่ยวก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา จะส่งผลให้อุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องพลอยฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยและส่งผลให้ธุรกิจต่างๆในประเทศดีขึ้นนั่นเอง ทั้งข้อ1และข้อ2นี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตให้ประชาชนได้เป็นอย่างดี จากอดีตที่เคยมีรายได้เดือนละแสนกลายเป็นศูนย์ เมื่อเปิดประเทศแล้วเชื่อว่ารายได้จากศูนย์จะขยับขึ้นกลายเป็นแสนในที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ตามนายกรัฐมนตรีก็ประกาศว่าในระยะแรกที่เริ่มเปิดประเทศอาจมีแนวโน้มเห็นว่าสถิติผู้ติดเชื้อสูงขึ้นกว่าปกติก็อย่าให้ตกใจ เพราะเมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้วสถิติผู้ติดเชื้อก็จะลดลงในที่สุด ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้สิ่งที่เราทุกคนพึงต้องตระหนักและระมัดระวังอย่างที่สุดคือ 1)ป้องกันตัวเองอย่างที่สุด ป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแม้นไปท่องเที่ยวในที่ใดๆก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่สาธารณสุขกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า ใครๆที่เดินผ่านไปผ่านมาใกล้ตัวเรานั้นจะมีเชื้อโควิดอยู่หรือเปล่า เพราะในระยะหลังๆมานี้ มักพบว่าผู้ติดเชื้อภายในประเทศไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าโอกาสที่เราออกไปสู่สาธารณชนแล้วจะติดเชื้อโควิดนั้นก็มีมากเช่นกัน 2)ประชาชนต้องร่วมมือลดสถิติการติดเชื้อให้มากที่สุด เรื่องนี้หากเราประชาสัมพันธ์ไปว่าสถิติการติดเชื้อของคนในประเทศมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆนั้น หมายความว่าการระบาดลดลง ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและภายในประเทศมีความมั่นใจที่จะท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามหากสถิติการติดเชื้อภายในประเทศลดลงช้ามากหรือเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลต่อการลดความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวนั่นเอง ซึ่งหากเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้แม้จะประกาศเปิดประเทศแต่ก็อาจไร้นักท่องเที่ยวได้เช่นกัน 3)ประชาชนต้องติดตามข่าวสารและประสานงานทุกภาคส่วนอย่างเคร่งครัด เมื่อประกาศเปิดประเทศแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนต้องติดตามข่าวสารจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อการปฏิบัติตัวป้องกันโควิดขั้นพื้นฐาน และการรับมือกับสถานการณ์การระบาดในแต่ละคลัสเตอร์ไปจนถึงการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปในที่ที่มีการระบาดนั่นเอง 4)คลายเครียดแต่ต้องไม่คลายความระมัดระวัง การรู้สึกคลายเครียดและมีความหวังขึ้นเมื่อจะเปิดประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิตคนไทย แต่ภายใต้การคลายเครียดนั้นประชาชนต้องไม่คลายความระมัดระวัง อย่าลืมว่าเป้าหมายหลักเราเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินำเงินเข้ามาในประเทศไทย มิใช่เปิดให้คนในประเทศไปท่องเที่ยวพลุกพล่านในขณะที่สถิติการแพร่ระบาดก็ยังไม่ลดลง ผู้เขียนมีความเห็นว่า หากคนในประเทศเราพยายามที่จะลดการออกจากบ้านให้มากที่สุด จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี เพราะอย่าลืมว่าการเปิดประเทศในครั้งนี้เป็นการเปิดประเทศในภาวะที่สถานการณ์โควิดยังไม่สงบ แต่นักสาธารณสุขและนักเศรษฐศาสตร์ในระดับประเทศคงวิเคราะห์กันมาอย่างดีเต็มที่แล้ว ที่พยายามจะสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยทางสุขภาพและการฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมๆกันนั่นเอง หากคนไทยทุกคนมีชีวิตที่มีความหวังและมีความหมายยิ่งขึ้นก็จะส่งเสริมสุขภาพจิตให้เข้มแข็งและต่อสู้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี แต่ต้องอยู่ภายใต้การระมัดระวังและป้องกันตนเองและสังคมอย่างเข้มงวดตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้นเอง ภาพปกจาก : klickblick / pixabay ภาพที่1จาก : geralt / pixabay ภาพที่2จาก : KELLEPICS /pixabay ภาพที่3จาก : MasashiWakui / pixabay ภาพที่4จาก: Elf-Moondance / pixabay ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊ค ประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ให้บริการปรึกษาและพัฒนาบุคลากร จัดอบรม ประชุมสัมมนาทั่วประเทศ ไอดีไลน์ ac6555 อัปเดตบทความดีต่อใจ ๆ แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !