หนังสือเล่มนี้มีความหนาประมาณ 315 หน้า แต่ฉันสะดุดตากับชื่อหน้าปกหนังสือเล่มนี้ ประกอบกับพอพลิกเข้าไปดูเนื้อหาคร่าวๆก็พบว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก การจัดรูปแบบและเนื้อหาที่ดร.ณัชร พยายามรังสรรค์ออกมา คือแบบต้องออกอุทานเบาๆว่า "สุดยอดมาก" หนังสือเล่มนี้ฉันซื้อมาตอนต้นเดือน 2562 ที่ร้านซีเอ็ดใกล้มหาวิทยาลัย ปกติแล้วที่ผ่านมาฉันเป็นคนนึงที่อ่านหนังสือได้ช้ามาก เล่มนึงก็ตกไป2-3 สัปดาห์ไม่ก็ลามไปเป็นเดือนก็มี ทั้งๆที่ฉันเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือและชอบซื้อหนังสือมาตุนไว้บนโต๊ะทำงาน แต่ความขี้เกียจประกอบกับการแบ่งเวลาไม่เป็นส่งผลให้ฉันอ่านหนังสือที่ซื้อมาไม่ทัน มีหลายเล่มเลยละที่หนังสือถูกซื้อมาโดยที่ฉันไม่ได้แตะอ่านมันซักครั้งเลย จนมีวันหนึ่งเพื่อนได้ชวนไปซื้อหนังสือที่ร้านซีเอ็ด ตามจริงไม่ได้คิดอยากจะซื้อหนังสือใหม่เลยสักนิดเดียวเพราะคิดว่าหนังสือที่มีบนโต๊ะทำงานก็แทบจะอ่านไม่ทันแล้ว หนังสือเล่มนี้ถูกวางอยู่บนหิ้งชั้นวางหนังสือใกล้ๆกับหน้าเคาเตอร์เลย และเป็นหนังสือที่ถูกโปรยจากทางร้านว่าเป็นหนังสือแนะนำ พึ่งออกมาใหม่และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หนังสือเล่มนี้ถ้าหากซื้อแล้วรายได้ทั้งหมด(ย้ำว่าทั้งหมด) ดร.ณัชร จะมอบให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้ง'มูลนิธิชัยพัฒนา'โดย ทรงดำรงตำแหน่งเป็นนายกกิตติมศักดิ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธาน เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในลักษณะของการดำเนินงานพัฒนาต่างๆ เห็นไหมว่า ซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ทั้งความรู้และผลบุญไปเต็มๆเลย รูปภาพโดยผู้เขียนริวิวหนังสือโดยผู้เขียน เริ่มที่ประโยคหนึ่งของคำนำสำนักพิมพ์คือ "...คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด..." จริงๆในประโยคนี้บางคนก็มองว่าอาจจะเป็นจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ถ้าหากเรายังย่ำอยู่กับตัวเลขนี้ต่อไปเรื่อยๆ อนาคตประเทศไทยนี้แหละน่าเป็นห่วง ดร.ณัชร สยามวาลา ผู้อุทิศแรงกายแรงใจทำโครงการ 'อ่านเพื่อชาติ' อ่านหนังสือและเขียนรีวิวลงในแฟนเพจส่วนตัวติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปีเต็ม รวม 365 เล่ม โดยอ่านจริงทั้งเล่ม ทุกเล่ม ทั้งนี้เพียงเพื่ออยากเห็นคนไทยสนใจอ่านหนังสือกันมากขึ้น ขอเกริ่นก่อนเลยว่า ดร.ณัชร สยามวาลา ท่านเป็นผู้ที่เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่อายุ 6 ขวบ หนังสือที่ท่านเริ่มอ่านคือ ประวัติศาตร์ยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เป็นต้น ซึ่งถ้าลองย้อนเวลากลับไปตอนนั้นเราคงสนุกกับการเล่นมากกว่าจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอ่าเนอะ555 สำหรับหน้าสารบัญมีหัวข้อบทที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก(แต่จริงๆก็น่าอ่านทุกบทเลย) ขอยกตัวอย่างบางหัวข้อบทที่ตนเองชื่นชอบมาฝากละกันเนอะ เริ่มจากหัวข้อบทแรกคือ หนังสือเปลี่ยนชีวิต เอะๆ หนังสือเปลี่ยนชีวิตได้อย่างไรกันนะ? แค่อ่านหัวข้อก็แทบจะพลิกไปเปิดในหน้าถัดไปเลย ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันเลย!!......นิยามของคำว่า"หนังสือเปลี่ยนชีวิต" ของดร.ณัชร คือ หนังสือที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตเราในด้านบวกอย่างก้าวกระโดดในทันทีทันใดหรือยังไม่ส่งผลทันทีทันใดก็ได้ แต่เมื่อวันหนึ่งเมื่อย้อนกลับไปในชีวิตตนเองแล้วคุณจะมองเห็นว่า แท้จริงคุณมาถึงจุดนี้ได้เพราะจุดเปลี่ยนจากหนังสือเล่มนั้น แล้วหนังสือเล่มนั้นคือเล่มไหนกันนะ ถ้าคุณคิดว่ายังไม่ได้ค้นพบมัน ดร.ณัชรขอให้เราพยายามค้นหามันต่อไป มันกำลังรอคุณอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งแน่ๆ ประโยคดังกล่าวข้างต้น ท่านไม่ได้มีจุดประสงค์เขียนเพื่อให้เราตามหาหรือขุดคุ้ยหนังสือ อารมณ์เหมือนรื้อหาหนังสือ แต่ท่านหมายถึงว่า เราต้องอ่านหนังสือให้เยอะๆแล้วเราจะได้เจอกับหนังสือที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับเรา รูปภาพจาก Pixcabay.com หัวข้อบทต่อมาที่น่าสนใจคือ ผู้นำในประวัติศาสตร์ที่รักการอ่านจนได้ดิบได้ดีนั้นแท้จริงเบื้องหลังการทำงานของเขาจนประสบความสำเร็จเขาทำได้ยังไงกันนะ? ......ขอยกตัวอย่างสักคนที่สนใจละกันนะ คือ โทมัส เจฟเฟอร์สัน เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอมริกา และเป็นนักกฎหมายคนหนึ่งด้วย เจฟเฟอร์สันศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์ ภาษาละติน กรีก ฝรั่งเศษตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวิลเลียมและแมรี่เมื่ออายุ 16 ปี ได้เรียนคณิตศาสตร์ ปรัชญา ฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ เขาใช้เวลาเรียนแค่ 2 ปีก็เรียนจบ ห้องสมุดบ้านของเจฟเฟอร์มีหนังสือ 1,250 เล่มภายใน 3 ปีถัดมา หนังสือเพิ่มมากถึง 6,500 เล่มภายในปีค.ศ.1814 และถ้าต่อให้เทียบกับคนในยุคปัจจุบันนี้ จะมีสักกี่คนที่มีหนังสือในบ้านมากกว่า 6,500 เล่ม!! ซึ่งถือว่าเยอะมากๆเลยละ ถ้าเทียบกับเราในตอนนี้ทั้งบ้านไม่แน่ใจว่าถึง 300 เล่มไหนมนะ5555 รูปภาพโดยผู้เขียน หัวข้อต่อมาที่น่าสนใจคือ 17 วิธีสู่การอ่านได้ปีละ 365 เล่ม ต้นแบบโครงการของดร.ณัชร มีวิธีการแบ่งเวลาการอ่านอย่างไรกันนะ? ในช่วงที่มีงานหลักๆสำคัญที่ต้องทำ และสุดท้ายหัวข้อที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ การสัมภาษณ์พิเศษผู้นำไทยที่รักการอ่าน จะมีใครบ้างนะ? แล้วถ้าเราได้เรียนรู้เบื้องหลังการทำงานว่าแต่ละคนที่ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนัก ทำไมเขาถึงมีมุมที่รักการอ่านด้วย (หัวข้อทั้ง 2 นี้ขอไม่กล่าวถึงในที่นี้ละกัน เพราะว่าที่ริวิวมาก็ค่อนข้างยาวมากไปละ555) เอาเป็นว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่านมากๆควรไปซื้อมาเลยนะ และสำหรับเราแล้ว หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบไปแล้ว เราก็แบ่งเวลาในการอ่านหนังสือได้ดีขึ้น สามารถจัดการกับหนังสือที่ซื้อมาด้วยการอ่านมันเฉลี่ย 1 เล่มต่อสัปดาห์ ซึ่งตอนนี้ถามว่ายังมีหนังสือที่ไม่แตะเลยบนโต๊ะทำงานอีกไหม? เราขอตอบว่า ไม่มีแล้ว555 ซึ่งถือว่าเราสามารถทำมันได้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานประจำที่ทำ อ่านหนังสือให้รู้สึกว่าได้ผ่อนคลาย และหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น ขอบคุณคะ