เป็นหนังที่ต่อเนื่องมาจากความสำเร็จของ Boogie Nights ผลงานก่อนหน้านี้ จากผู้กำกับ Paul Thomas Anderson นะครับ เนื่องจากตัวหนังประสบความสำเร็จทีเดียว ถึงแม้จะไม่ถล่มทลายทางด้านรายได้ขนาดเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ทำให้ชื่อของ Paul แกเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในฐานะผู้กำกับหนุ่มอนาคตไกลคราวนี้ทางสตูดิโอ New Line Cinema ก็เลยบอกกับ Paul ครับ ว่าหลังจากนี้ถ้ามีโปรเจคอะไรในหัว พวกเขาพร้อมสานฝันให้ได้หมด Paul ในตอนนั้นก็รีบตอบตกลงแบบไม่คิดเลยครับ เพราะเขารู้ว่าโอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีมาบ่อย ๆ มันก็เลยเป็นที่มาของหนัง 3 ชั่วโมง เรื่องนี้ ซึ่งได้เหล่านักแสดงเดิม ๆ บางส่วน มาจาก Boogie Nights รวมถึงยังได้ดาราดังอย่าง Tom Cruise มาเสริมอีกหนังมีเส้นเรื่องมากมายครับ โดยมันเล่าถึง จิมมี่ (Philip Baker Hall) พิธีกรรายการตอบปัญหา ที่เริ่มรู้สึกว่าเวลาของเขากำลังจะหมดลงแล้ว แถมเขายังมีปัญหาหนักที่ต้องเคลียร์กับลูกสาวของตัวเอง อย่างคลอเดีย (Melora Walters)จิม (John C. Reilly) เจ้าหน้าที่ตำรวจขี้เหงา ที่ดันไปตกหลุมรักคลอเดียแฟรงก์ (Tom Cruise) ชายที่มีหน้าที่เป็นกูรูสอนผู้ชายหลอกแอ้มสาว ที่ต้องมาตกที่นั่งลำบาก เมื่อถูกขุดคุ้ยชีวิตของตัวเองดอนนี่ (William H. Macy) อดีตเด็กอัจฉริยะ ที่ทำสถิติคะแนนมากสุดในรายการตอบปัญหา ปัจจุบันเป็นแค่ขี้เมา ที่ต้องการเงินมาทำเหล็กจัดฟันสแตนลีย์ (Jeremy Blackman) เด็กอัจฉริยะที่ถูกพ่อตักตวงผลประโยชน์ และกำลังจะได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการตอบปัญหาตอนล่าสุดเอิร์ล (Jason Robards) ชายแก่ป่วยใกล้ตาย นอนติดเตียง ที่ต้องอาศัยการดูแลจาก ฟิล (Philip Seymour Hoffman) บุรุษพยาบาลส่วนตัวลินดา (Julianne Moore) เมียสาวของเอิร์ลที่กระวนกระวายใจ และยังยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองต้องสูญเสียสามีไปวุ่นวายดีไหมหล่ะครับ Magnolia มันเป็นหนังประเภทที่ไม่ต้องการแสวงหาเหตุผลจากทุกการกระทำ และไม่ใส่ใจจะหาคำตอบของทุก ๆ สถานการณ์ อย่างที่หนังมันบอกเรานะครับ อะไรแปลก ๆ มันก็เกิดขึ้นตลอดเวลานั่นแหละ ในขณะที่หนังหลาย ๆ เรื่องพยายามร้อยเรียงเนื้อเรื่องให้ตัวละครมีความเกี่ยวพันกันโดยตรง แต่หนังเรื่องนี้กลับตรงกันข้ามครับ หนังเรื่องนี้มันแสดงให้เห็นถึงตัวละครที่มีชีวิตแตกต่างกัน แต่ในความแตกต่างนั้นกลับมีเหตุการณ์คล้ายคลึงกันมากมาย ระหว่างที่นั่งดูมันก็เลยมีความรู้สึก เหมือนเรามองคนที่เผชิญหน้ากับความทุกข์ จากเบื้องบนนะครับ ในขณะที่คน ๆ หนึ่งเศร้า จากเรื่องราวเรื่องหนึ่ง ตัดภาพไปอีกสถานที่ ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ก็อาจจะมีคนที่ประสบพบเจอเรื่องราวคล้าย ๆ กันอยู่ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหลาย ๆ คนก็เลยอาจจะตะขิดตะขวงใจกับการดำเนินเรื่องของตัวหนังได้นะครับ เพราะมันดำเนินเรื่องได้แหวกแนวจากหนังธรรมดาทั่วไปจริง ๆ มีอย่างที่ไหนหล่ะครับ ที่หนังมันจะเล่าเรื่องของคนที่แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันตรง ๆ เลย แถมมันยังตัดสลับไปสลับไปสลับมา มองเผิน ๆ ก็ได้แต่งงครับ ว่าเรื่องราวมันต่อเนื่องกันตรงไหนแต่ก็เพราะไอ้การดำเนินเรื่องแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้ตัวหนังสามารถชูคอนเซ็ปต์สภาวะจิตใจของแต่ละตัวละครได้ดีเอามาก ๆถ้าสังเกตดี ๆ เราจะแบ่งชะตากรรมของตัวละครในหนังเรื่องนี้ได้ย่อย ๆ 3 ช่วง นะครับช่วงแรก ๆ พวกเขาอาจจะหนีความจริง หรือเก็บงำความลับของตัวเองไว้ แต่เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมันจัง ๆ และในท้ายที่สุดพวกเค้าจะยอมรับมันหรือจะหลอกตัวเองต่อไป อันนั้นก็ต้องไปติดตามดูกันเอาเองครับผลลัพท์ที่ได้มันเลยกลายเป็น 3 ชั่วโมง ที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ของตัวละคร ความอัดอั้น ความโกรธแค้น ด้านมืด การให้อภัย เราจะได้เห็นมันหมดทุกอย่าง เมื่อรวมกับทิศทางการกำกับของ Paul Thomas Anderson และทีมนักแสดงที่เล่นกันได้ถึงแล้ว ต้องบอกว่าตัวหนังตรึงคนดูได้อยู่หมัดหลาย ๆ คนอาจจะบอกได้ว่าตัวหนังมันเละเทะ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่หนังมันเกี่ยวกับชีวิตนะครับ และผมว่านี่แหละชีวิต มันยุ่งเหยิง มันไม่อาจควบคุมได้ และใช่ว่าทุกอย่างมันจะสมเหตุสมผลถ้ามองในแง่นั้นแล้ว หนังเรื่องนี้มันก็สมบูรณ์แบบในแนวทางของมันเองนะครับ ผลงานที่เกี่ยวข้อง : รีวิว Boogie Nightsขอบคุณภาพ ปก มาจากโปสเตอร์ Official : IMDB / ภาพ 1 : @warnerbrosent / ภาพ 2 และ 3 แคปจาก @warnerbrosent / ภาพ 4 โปสเตอร์ญี่ปุ่น : IMDB