"นายพึ่งใช้เวลา 1 ปีของชีวิตไปกับหนังห่วย ๆ"John Cassavetes ผู้กำกับและนักแสดงชื่อดัง กล่าวกับ Martin Scorsese หลังจากได้ดูหนังใหม่ของผู้กำกับหนุ่มJohn แนะนำกับ Scorsese ในตอนนั้นว่า ให้กลับไปทำหนังด้วยแนวทางเดิมของตัวเอง เมื่อ Scorsese ได้ยินดังนั้น คราวนี้เขาก็เลยตั้งหน้าตั้งตาเขียนบทหนังเรื่องที่ 3 ของเขาร่วมกับ Mardik Martin โดยตัวบทหนังได้แรงบันดาลใจอย่างมาก มาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของตัวเอง ที่เติบโตมาใน New York ละแวก Little Italyณ ตอนนั้น Scorsese เขาก็ยังเป็นแค่ผู้กำกับที่มีแววนะครับ แต่หนังเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับเต็ม ๆ จากนักดูหนังขาจรทั้งหลายหนังเล่าถึง ชาร์ลี (Harvey Keitel) วัยรุ่นหนุ่มที่มีลุงเป็นหนึ่งในมาเฟียผู้มีอิทธิพลนะครับ เขาต้องการความไว้วางใจจากลุง เพื่อจะได้ฮุบกิจการร้านอาหาร แต่ชาร์ลีดันมีเพื่อนรักที่เป็นนักเลงหัวไม้อย่าง จอนนี่บอย (Robert De Niro) ที่มักจะก่อปัญหาอยู่บ่อย ๆ แถมล่าสุดจอนนี่ยังไปติดเงินกับพวกปล่อยเงินกู้ประจำละแวกนั้น อย่างไมเคิล (Richard Romanus) แถมยังเตร็ดเตร่ใช้เงินไปทั่ว ชาร์ลีด้วยความเป็นเพื่อน ก็เลยต้องคอยตามแก้ปัญหาให้จอนนี่อยู่ตลอด ๆ จนกระทั่งสถานการณ์มันเริ่มจะเกินความควบคุม แล้วไหนเขายังต้องคอยปิดบังความสัมพันธ์ของเขากับลูกพี่ลูกน้องของจอนนี่ อย่างเทเรซ่า (Amy Robinson) ทำให้ชีวิตต้องวุ่นวายเข้าไปอีกหนังทุนต่ำทีเดียวครับ ลงทุนไป 500,000 USD เท่านั้น แถมครึ่งหนึ่งยังเป็นค่าลิขสิทธิ์เพลงในหนังอีก เสียงในหนังบางทีมันก็เลยอัดออกมาได้ไม่ดีนัก และบางซีนยังต้องอาศัย Handheld แบบฝืน ๆ นะครับ (แต่บางคนก็บอกว่ามันเสริมอารมณ์ให้กับตัวหนังนะ)แต่ถึงกระนั้นอะไรแบบนี้มันก็ให้อภัยกันได้ครับ เพราะหนังมันถูกเติมเต็มด้วยความสามารถของบุคลากรทั้งหน้ากล้อง และหลังกล้องนะครับเราจะได้เห็นทิศทางการกำกับของ Scorsese ที่มันจัดจ้าน และแต่งเติมด้วยสีสันของเพลงต่าง ๆ ที่ใส่มา การถ่ายทอด Little Italy ที่เต็มไปด้วยตัวละคร และผู้คนมากหน้าหลายตา เรียกได้ว่าเอกลักษณ์ต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ ถูกต่อยอดไปยังงานต่อ ๆ ไปของเขาอีกมากมายเขาว่ากันว่าจนถึงทุกวันนี้ หนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นผลงานของ Scorsese ที่ใส่ความเป็นส่วนตัวของตัวเองลงไปมากที่สุดนะครับ เขาแสดงให้เห็นถึงโลกที่เขาเติบโตมา ตัวละครอย่างจอนนี่บอยเอง ก็ได้แรงบันดาลใจมากจากปู่จอมแหกกฎของเขาเอง หรือแม้แต่ตัวเอกอย่างชาร์ลีก็สะท้อนถึงความเคร่งครัดในศาสนาที่เขาได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆสำหรับ Robert De Niro และ Harvey Keitel ต้องบอกว่านี่เป็นหนังเรื่องแรก ๆ ของพวกเขา แต่ต้องบอกว่าแสดงกันได้ดี และที่สำคัญคือเคมีเข้ากันมาก ๆ ไม่แปลกใจเลยที่กลายเป็น 2 นักแสดง ที่ยืนระยะมาได้ยาวนานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงนักแสดงคนอื่น ๆ ก็แสดงกันได้เป็นธรรมชาติ เสริมอารมณ์ความสมจริง และบรรยากาศดิบ ๆ ในหนังได้ดีทีเดียวหนังเรื่องนี้มันไม่ไช่หนังที่มีพล็อตคอยเสริมคอยขับเคลื่อนตัวหนังอยู่ตลอดนะครับ แต่มันเป็นหนังประเภทที่พาเราไปรู้จักกับเหล่าตัวละคร และได้มีโอกาสตามติดชีวิตวัน ๆ ของพวกเขา ได้เห็นพวกเขาเมาบ้าง บ้าบ้าง อาละวาดบ้าง หรือวันดีคืนดีมีคนจะยิงกันให้เห็นจะ ๆ อีกแล้วเอาจริง ๆ ไป ๆ มา ๆ หนังมันไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งสเตอร์ขนาดนั้นนะครับ มันเกี่ยวกับคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในสภาวะแวดล้อม แบบนั้นซะมากกว่าผมจำได้ว่าเคยอ่านคอมเมนท์ คอมเมนท์นึงของฝรั่งที่เขาสรุปหนังเรื่องนี้ได้ถูกใจผมมากเลย ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องเพลงนะครับ แต่คอมเมนท์นี้มันอธิบาย Mean Streets ได้ถูกใจผมจริง ๆ เขาว่า ว่าหนังเรื่องนี้ มันเหมือนกับอัลบั้มแรก ๆ ของ The Beatles นะครับ ทุนทรัพย์ไม่มาก แต่พรสวรรค์ข้างในหนังมันเปี่ยมล้นครับ ขอบคุณภาพจาก ปก : WarnerBros / ภาพ 1 : WarnerBros / ภาพ 2 : WarnerBros / ภาพ 3 : WarnerBros / ภาพ 4 : WarnerBros