Ridley Scott ผู้กำกับมือฉมังผู้ให้กำเนิดหนังไซไฟ-ทริลเลอร์เรื่องเยี่ยมอย่าง Alien ในปี 1979 ซึ่งเล่าเรื่องราวของยานนอสโตรโม ยานขนส่งที่กำลังจะกลับจากภารกิจ แต่ระหว่างทาง พวกเขาเกิดไปได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือเข้า ทำให้ยานต้องร่อนลงจอดเพื่อทำการช่วยเหลือ แต่แล้ว ปรากฎว่าเมื่อ เคน (John Hurt) ลูกเรือคนหนึ่งลงไปสำรวจ กลับโดนสิ่งมีชีวิตประหลาดกระโดดเข้าเกาะหน้า พวกเขารีบนำเคนขึ้นยาน และไม่นาน เจ้าตัวประหลาดนั่นก็หลุดออกจากเคนซะดื้อ ๆ และเขาก็ดูเป็นปกติดี แต่หารู้ไม่ว่าตัวอ่อนเอเลี่ยนได้ฝังอยู่ในตัวเคนแล้ว และความตายอย่างสยดสยองของลูกเรือก็เริ่มต้นขึ้น สำหรับ Alien แล้วเราไม่ได้ดูตอนที่มันเข้าโรง(เพราะเกิดไม่ทันนั่นเอง) แต่ได้มาดูเป็นแผ่นวีซีดีตอนสมัยเด็ก ต้องบอกว่าในตอนนั้นเรากลัวไอ้ตัว Facehugger มาก ดูทีไรก็สะดุ้งทุกทีเวลามันกระโดดไปเกาะหน้าใครเข้า ซึ่งก็น่าจะรู้แล้วว่าเรากลัวหนังเรื่องนี้มากขนาดไหนในตอนเด็ก พอเราโตขึ้นแล้วกลับมาดูเราดันไม่ค่อยรู้สึกกลัวเท่าไหร่ แต่ก็ยอมรับว่าฉากนั้นเป็นหนึ่งในฉากที่สยดสยองที่สุดในบรรดาหนังไซไฟที่ดูมา พอมา Prometheus เราได้ยินมาว่านี่จะเป็นภาคต้นกำเนิด Alien เราก็ตื่นเต้นมากที่จะได้ดูเพราะเห็นมันขึ้นในหน้าแนะนำของ Netflix แถม Ridley Scott ก็ยังกำกับเหมือนเดิม แน่นอนว่าความคาดหวังก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา หนังเล่าเรื่องราวของสองนักวิทยาศาสตร์ อลิซาเบ็ธ ชอว์ (Noomi Rapace) และ ชาร์ลีย์ ฮอลลีเวย์ (Logan Marshall-Green) ไปเจอภาพวาดโบราณในถ้ำเข้า ซึ่งเธอเชื่อว่าภาพวาดนั้นมันคือคำเชิญของพระเจ้า เธอกับชาร์ลีย์จึงรวมทีมนักวิทยาศาสตร์อีกเกือบสิบนายเพื่อไปตามคำเชิญนั้นบนดาวปริศนาโดยยานโพรมีธีอุส ซึ่งหลังจากที่ทุกคนไปเหยียบดาวดวงนั้นแล้ว แน่นอนว่ามี Something Wrong เกิดขึ้น จนกลายเป็นเหตุสยองขวัญที่เราจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้ หนังเปิดเรื่องมาได้น่าสนใจมาก ฉายภาพให้เห็นผู้สร้างที่กำลังดื่มสารอะไรบางอย่างเข้าไปก่อนที่ร่ายกายจะค่อย ๆ สลายแล้วตกลงไปยังสายน้ำ ซึ่งสร้างปริศนาให้กับเราคนดูว่าสารนั้นมันคืออะไรกัน ใช่สารที่ทำให้คนดื่มกลายเป็นเอเลี่ยนหรือเปล่า(ซึ่งมารู้ทีหลังก็แอบสยองอยู่พอสมควร) หลังจากนั้นหนังก็แนะนำตัวละครให้เราได้รู้จัก และใช้เวลาในส่วนนี้ไปมากโขจนเราแอบหลับไปประมาณ 5 นาทีก่อนจะตื่นมาดูต่อ ปัญหาก็คือช่วง 30 นาทีแรกของหนังดำเนินเรื่องช้าถึงช้ามาก และไร้ซึ่งความตื่นเต้นโดยสิ้นเชิง หนังมาสนุกช่วงที่ตัวละครเริ่มเข้าถ้ำไปตามคำเชิญชวนของผู้สร้าง ซึ่งต้องขอชื่นชมทางทีมงาน Production Design ที่เนรมิตฉากบนยาน ฉากบนดาว และฉากในถ้ำออกมาสวย และมีความทันสมัยเป็นอย่างมาก ซึ่งก็สมกับทุนสร้าง 130 ล้านที่ลงทุนไป เรียกว่าเก็บทุกเม็ดจริง ๆ ซึ่งก็สมกับชื่อ Ridley Scott ป๋าแกไม่ยอมพลาดอยู่แล้วในจุดนี้ สำหรับประเด็นต่าง ๆ ในหนังนั้น ส่วนตัวเราไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เลยไม่ค่อยเก็ตในหลายประเด็นที่เขาพยายามจะสื่อ แต่เราก็ชอบประเด็นผู้สร้างที่ Prometheus นำเสนอมาก แถมเรายังชอบการตั้งคำถามในหนังด้วยว่าถ้าพระเจ้าสร้างเรา แล้วใครสร้างพระเจ้า หนังไม่ได้มีฉากแอคชั่นตูมตามอะไรมากมาย แต่ก็สามารถสร้างความหวาดผวาให้กับเราคนดูได้ดี ด้วยบรรยากาศบนยานโพรมีธีอุส และสภาพแวดล้อมบนดาว และดนตรีประกอบโดย Marc Streitenfeld มันเอื้ออำนวยแก่อารมณ์คนดูมาก ๆ ยิ่งช่วงครึ่งหลังของหนังที่บอกเลยว่า "โคตรลุ้น โคตรระทึก และโคตรกดดัน" ซึ่งทำได้ดีมากตามมาตรฐานที่หนัง Alien ภาคแรกเคยทำไว้ ทีมนักแสดงในภาคนี้ ต้องบอกว่าฝีมือระดับพระกาฬทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Michael Fassbender, Noomi Rapace, Charlize Theron, Idris Elba หรือแม้กระทั่ง Guy Pearce ที่โผล่มาน้อยแถมยังเมคอัพหน้าแก่จนแทบจำไม่ได้ว่านี่คือพี่แก ทุกคนเล่นได้ดีสมบทบาท โดยเฉพาะ Fassbender ที่แสดงเป็นเดวิดได้น่ากลัวและน่าสงสัยมาก ๆ ถึงแม้ในแง่ของบทอาจจะไม่ได้ดีเว่อร์ แต่อย่างน้อยนักแสดงก็ยกระดับบทให้ดูดีขึ้นนิดนึงแหละว้า สรุปแล้ว Prometheus เป็นหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ที่ทำออกมาได้ดีในระดับนึงเลย ถึงแม้เราจะไม่ได้ชอบมากเท่า Alien ภาคแรก แต่เราก็ยังชอบบรรยากาศและอารมณ์ลุ้นระทึกจากเรื่องนี้อยู่พอสมควร อีกอย่างงานภาพสวยมาก ดนตรีก็ช่วยอารมณ์วังเวงได้กดดันไปอี๊กกกกก โดยรวมคนที่ชอบไซไฟไม่ควรพลาด หรือว่าใครที่ชอบทริลเลอร์ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน สามารถรับได้แล้วที่ Netflix คลิ๊กดูได้เลย... ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : Prometheus - Official Full Trailer -In Theaters 6/8/12 และภาพโปรโมตจาก 20th Century Fox ด้วยนะครับ -..-