เพื่อน ๆ ทำยังไงในวันที่ใจรู้สึกหม่น ๆ บ้างคะ? บทความรีวิวชิ้นนี้เราอยากมาแบ่งปันเทคนิคเติมพลังบวกง่าย ๆ ด้วยการดู Queer Eye ค่ะ เรียลิตี้โชว์ที่จะเติมพลังบวกของคุณให้เต็มถัง แล้วมาก้าวข้ามวันที่หม่นหมองไปด้วยกันนะคะ Queer Eye คือ เรียลิตี้โชว์เกี่ยวกับการเมกโอเวอร์ผู้คนค่ะ ดำเนินรายการโดยเกย์ 5 คน ที่มีความเชี่ยวชาญ 5 ด้าน ในนาม The Fab Five ซึ่งคอนเซ็ปต์รายการก็ตรงตัวเลยคือการเมกโอเวอร์ผ่านสายตาเกย์ 5 คน ที่จะเข้ามาดึงศักยภาพของคุณใน 5 ด้านที่ The Fab Five เชี่ยวชาญ ในแต่ละตอนของ Queer Eye จะเลือกโจทย์จากผู้คนที่ส่งเรื่องราวเข้ามา เป็นเรียลิตี้โชว์สัญชาติอเมริกันสุดปังที่ตอนนี้ก็ดำเนินมาถึง season ที่ 5 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้ง season พิเศษ เมกโอเวอร์ผู้โชคดีชาวญี่ปุ่น ในชื่อ season ที่ว่า Queer Eye: We’re in Japan ซึ่งเป็น season ที่น่าสนใจมาก ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไปจากการเมกโอเวอร์ชาวตะวันตกมาเป็นการเมกโอเวอร์ให้กับชาวตะวันออกที่มีบริบททางวัฒนธรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งการดู Queer Eye ในแต่ละตอนนั้นเราจะได้รับพลังบวกจากวิธีการเมกโอเวอร์ของ The Fab Five อยู่แล้ว เนื่องจาก หัวใจสำคัญของการเมกโอเวอร์ที่ The Fab Five ใช้นั้น จะเน้นที่การปรับจูนทัศนคติ ทำลายกำแพงให้พร้อมรับการเมกโอเวอร์ก่อน แล้วจึงค้นหาความชอบหรือความฝันที่เก็บอยู่ในตัวผู้คนเหล่านั้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมาเฉิดฉายให้กลายเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นได้อีก และนอกจากวิธีการทำลายกำแพงบางอย่างที่กดศักยภาพของเราเอาไว้แล้ว ก็ยังมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ The Fab Five แชร์ในรายการ ด้วยความที่ The Fab Five จะเข้ามาช่วยเมกโอเวอร์กันคนละด้านตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน เช่น ด้านทรงผม ด้านเสื้อผ้า ด้านการตกแต่งบ้าน เป็นต้น ดังนั้น ระหว่างการเมกโอเวอร์เราก็จะได้เทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ด้วย ทำความรู้จักกับ Queer Eye และวิถีของ The Fab Five กันมาพอสมควรแล้ว จากนี้ไปเราก็จะมาลงรายละเอียดกันอีกสักหน่อยว่า ความเชี่ยวชาญของ The Fab Five มีอะไรบ้าง รวมถึงเนื้อหาในแต่ละตอนของ Queer Eye: We’re in Japan ด้วย เผื่อตอนไหนตรงใจเพื่อน ๆ ก็พุ่งตรงไปดูตอนนั้น ๆ ได้ก่อนเลย เพราะแต่ละตอนเนื้อหาแยกอิสระออกจากกันอยู่แล้ว The Fab Five:แทน ฟรานส์ (Tan France) ดูแลด้านเสื้อผ้าแฟชั่นดีไซเนอร์ลูกครึ่งอังกฤษ-ปากีสถาน เป็นมุสลิมในวงการบันเทิงตะวันตกคนแรกที่เปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ ในบางตอนของ Queer Eye แทน ก็ได้แบ่งปันประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดและยากลำบากสำหรับชาวมุสลิมที่เป็นเกย์ด้วย ส่วนผลงานในการดูแลด้านเสื้อผ้าของ แทน ในรายการ เรียกได้ว่า สามารถเปลี่ยนลุคได้ในพริบตา โจนาธาน แวน เนสส์ (Jonathan Van Ness) ดูแลด้านทรงผมโจนาธาน เกิดในครอบครัวนักข่าว ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสำนักข่าวท้องถิ่นโด่งดังและเก่าแก่มายาวนาน ซึ่งโจนาธานคือรุ่นที่ 6 ของครอบครัวที่จะสืบทอดธุรกิจนี้ต่อไป แต่ตัวเขาเองสนใจด้านการทำผม จนถึงขั้นมีร้านทำผมเป็นของตนเองในลอสแอนเจลิสและนิวยอร์ก แม้กระนั้น เขาเองก็มีประสบการณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับการถูกล้อเลียนเพศสภาพและรูปลักษณ์หน้าตามาตลอดตั้งแต่เด็ก สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวทางในการดูแลทรงผมของ โจนาธาน ในรายการ ไม่ยึดติดกับมาตรฐานความสวยหล่อของสังคม เชื่อว่าทุกคนสวยและหล่อได้ในแบบของตนเอง และ โจนาธาน มักมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแลเส้นผมรวมถึงสกินแคร์มาแบ่งปันในรายการเสมอ บ็อบบี เบิร์ก (Bobby Berk) ดูแลด้านงานออกแบบหลัก ๆ บ็อบบี จะรับหน้าที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยของที่อยู่อาศัย ไม่เพียงแค่ตกแต่งภายใน แต่ออกแบบพื้นที่แต่ละจุดของบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของโจทย์ในแต่ละตอน และ บ็อบบี ก็ทำผลงานออกมาได้มหัศจรรย์ในทุก ๆ ตอน รับรองว่าเพื่อน ๆ ที่ชอบตกแต่งบ้านต้องได้ไอเดียเจ๋ง ๆ ไปใช้กับตัวเองได้บ้างไม่มากก็น้อย คาราโม บราวน์ (Karamo Brown) ดูแลด้านวัฒนธรรมอาจจะดูงง ๆ ว่าการดูแลด้านวัฒนธรรมคืออะไร? จริง ๆ แล้วน่าจะเรียกว่าดูแลด้าน Mindset มากกว่า คาราโม จะเข้ามาคุยกับโจทย์ในแต่ละตอน ค้นหาปมที่ทำให้เกิดการแสดงออกในอย่างที่เป็น แล้วใช้เทคนิคหลากหลายในการกระเทาะเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มปมเหล่านั้นให้แตกออก โดย คาราโม จะเข้ามาช่วยดูแลกระบวนการทางความคิด การปรับทัศนคติ ให้มองโลกในแง่มุมที่ควรจะเป็น เห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น อภัยให้ตัวเองมากขึ้น เพื่อให้เขาและเธอเหล่านั้นพร้อมรับการเมกโอเวอร์มุ่งสู่การเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นได้อีกนั่นเอง ในรายการดูเหมือนผลงานของ คาราโม จะจับต้องได้ยากกว่า The Fab Five คนอื่น ๆ แต่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเมกโอเวอร์ และกระบวนการของ คาราโม นี่หล่ะ ที่จะช่วยส่งผ่านพลังบวกให้คนดูอย่างเรา ๆ ได้ด้วย แอนโทนี โปโรวสกี (Antoni Porowski) ดูแลด้านอาหารแอนโทนีจะออกแบบเมนูง่าย ๆ ทำเองได้ แต่หรูหราก๋ากั่นที่สุด คนชอบทำอาหารน่าจะชอบช่วงของแอนโทนี ทำง่าย โชว์ได้ อิ่มด้วย และเขาเองก็เป็นคนที่สนใจอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะฉะนั้น เมนูต่าง ๆ ที่แอนโทนีสอนในรายการ ก็จะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพด้วยเช่นกัน ทำความรู้จักกับ The Fab Five กันแล้ว มาดูกันต่อว่าโจทย์ใน Queer Eye: We’re in Japan มีใครกันบ้าง Queer Eye: We’re in Japan ตอนที่ 1 โยโกะซังโยโกะซัง หรือ โยโกะ ซาคุมะ เธอเปิดบ้านและอุทิศตัวเองเพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทุกวินาทีของเธอมีไว้เพื่อดูแลผู้อื่น แม้กระทั่ง ห้องนอนของตนเองก็เปิดให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้พักพิง ส่วนตัวเธอก็ออกมาปูผ้านอนใต้โต๊ะแทน ความทุ่มเทของเธอทำให้เธอมองข้ามการดูแลตนเอง อะไรที่ทำให้เธอต้องทุ่มเททั้งกายและใจเช่นนั้น และ The Fab Five จะทำให้เธอกลับมาดูแลและเห็นคุณค่าของตนเองพอ ๆ กับที่เธอเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้อย่างไร เรื่องราวและการเมกโอเวอร์ในตอนนี้น่าประทับใจมากค่ะ ตอนที่ 2 คังคัง เด็กหนุ่มวัย 27 ปี รู้ตัวว่าเป็นเกย์มาตั้งแต่ 5 ขวบ แต่ไม่สามารถเปิดตัวได้ด้วยค่านิยมของชาวญี่ปุ่นที่ยังไม่เปิดรับเพศสภาพอื่นนอกจาก ชาย และ หญิง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาต้องหลบซ่อนตัวตนภายใต้ภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายไม่โดดเด่น ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แต่ในคราวนี้ The Fab Five จะเข้ามาปรับลุคให้คังได้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องกลัวเมื่อเราแป๊ะทั้งตัวน๊ะจ๊ะซิส ตอนที่ 3 คาเอะนักวาดมังงะ เธอเคยได้รับโอกาสที่ดีที่สุดจากสำนักพิมพ์ในฐานะนักวาด นั่นคือ การออกมังงะเป็นของตนเอง แต่ล้มเหลว ทำให้ คาเอะ ผู้มีพรสวรรค์ไม่กล้าที่จะท้าทายตัวเองอีกต่อไป ในขณะที่เธอเองก็โหยหาการยอมรับจากสังคม แต่เธอกลับแสดงออกได้เพียงแค่การย้อมผมสีแปลก ๆ แต่งตัวฉูดฉาดโดดเด่นแบบไม่ลงตัว มีนิสัยไม่ชอบเก็บกวาดที่อยู่อาศัย แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามเรียกร้องความสนใจจากสังคม แต่ไม่สนใจสถานที่ของตนเอง The Fab Five จะเข้ามาช่วยให้ คาเอะ เกิดการยอมรับตนเองจากภายในเพื่อพร้อมรับการยอมรับจากสังคม ตอนที่ 4 มาโกโตะมาโกโตะ ผู้กำกับรายการวิทยุ ชอบเก็บตัวและกลัวสังคม ปมจากการโดนแกล้งสมัยเด็กทำให้เขาไม่มีเพื่อน และไม่ชอบทำตัวเด่น เขามักจะพยายามซ่อนตัวจากสังคม แต่ปัญหาคือเขาก็ทำตัวเช่นนั้นกับชีวิตแต่งงานด้วยเช่นกัน เขาจึงตั้งใจปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้กลายเป็นสามีที่ดีขึ้นได้อีกเพื่อความสุขของผู้หญิงคนสำคัญในชีวิตเขา season พิเศษนี้มีเพียง 4 ตอน แต่รับรองคุณภาพ ความประทับใจในทุก ๆ ตอน สำหรับ Queer Eye: We’re in Japan เราให้คะแนน 10/10 ไปเลยค่ะ เพราะปมปัญหาที่เลือกมาในแต่ละตอนนั้น เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับชีวิตของผู้คนยุคนี้มาก ๆ ดูแล้วปรับใช้กับตัวเองได้ในหลายมิติ สำหรับเราบอกเลยว่า “น้ำตาซึม” ทุกตอน แล้วด้วยความที่คนญี่ปุ่นมัก คิด พูด ทำ ในแบบที่มีปรัชญาซ่อนอยู่เสมอ ทำให้ season นี้เนื้อหามีความลึกซึ้งเหมือนที่เราเคยได้ดูในหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่นยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ เพื่อน ๆ สามารถติดตาม Queer Eye: We’re in Japan ได้แล้ววันนี้ ทาง NETFLIX นะคะ เครดิตรูปภาพ: NETFLIX