อีกหนึ่งเรื่องจากทางฝั่งเกาหลีที่ต้องบอกว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยกับ Yaksha หนังแนวสายลับเอเชียที่มีผู้กำกับอย่างคุณ นาฮยอน เจ้าของผลงานเรื่อง The Prison ในปี 2017 หนังแอ็กชันเนื้อเรื่องสะใจที่ท่านผู้ชมอาจผ่านตากันมาบ้าง หรือแม้แต่หนังแนวดราม่าอย่าง Inseparable Bros หรือ Summer Snow ผู้กำกับคนนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจทั้งนั้น แต่สำหรับ Yaksha เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องแรกใน Netflix Original ของคุณ นาฮยอน มันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความคาดหวังว่าจะทำออกมาสนุกแค่ไหนกัน?ปีที่ออกอากาศ : ค.ศ. 2022ประเภท : เกาหลี ภาพยนตร์แอ็กชันสายลับผจญภัยผู้กำกับ : นา ฮยอนนักแสดง : พัคแฮซู, พัก จินยอง, โซล คยอง กู, ฮิโรยูกิ อิเคอุจิ, อีเอล ช่องทางการรับชม : Netflixภาษาในการรับชม : เสียงพากย์ : ไทย, เกาหลี, อังกฤษ, ญี่ปุ่น | คำบรรยาย : ไทย, อังกฤษ, จีน, เกาหลี ระดับความเหมาะสม : อายุ 16+แต่พอดูจบในเวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ ผู้เขียนเองรู้สึกว่า Yaksha มันเต็มไปด้วยความหลากหลายของรสชาติ ที่มันมีทั้งแอ็กชัน มีดราม่า หรือความเป็นสืบสวนสอบสวน ที่ค่อนข้างกลมกล่อมเลย อีกทั้งพลังนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่างคุณ พัคแฮซู ที่เคยมีผลงานดังกับซีรีส์ Squid Game หรือดาราเจ้าบทบาทอย่างคุณ โซล คยอง กู ที่ใครหลายคนคงจำแกได้ใน Memoir of a Murderer หรือแม้แต่ลูกทีมอย่างคุณ อีเอล ที่จำเธอได้ในซีรีส์เรื่อง Goblin อีกคนหนึ่งกับคุณ จินยอง ที่สาวๆคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเคป็อปอย่าง Got 7 ที่เห็นได้ชัดว่าการเลือกแคสติ้งดีก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งเพราะแค่หน้าปกมันก็เกิดความเชื้อเชิญคนดูให้กดเข้ามาดูหนังแล้ว เนื้อเรื่องของ Yaksha จะเล่าเกี่ยวกับอัยการกรุงโซลที่ชื่อว่า ฮันจีฮุน เจ้าตัวถูกส่งไปทำภารกิจเป็นสายลับในเมืองเสิ่นหยาง เมืองที่เป็นที่ตั้งของสถานกงสุลประเทศต่างๆเต็มไปด้วยสายลับทั้ง จีน เกาหลีเหนือ รัสเซีย ญี่ปุ่น และการมาเมืองเสิ่นหยางครั้งนี้ ฮันจีฮุน เขาต้องร่วมมือกับ คังอิน หัวหน้าทีมสายลับ NIS ที่จะมาช่วยตามหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงเกาหลีเหนือที่หายตัวไปพร้อมกับข้อมูลลับระดับประเทศ และเรื่องราวทั้งหมดนี้มันจะเปลี่ยนมุมมองการทำงานของอัยการหนุ่ม ฮันจีฮุน ไปอย่างสิ้นเชิงจุดเด่นพล็อตเรื่องที่ทำออกมาน่าสนใจ การวางตัวละครที่ไม่มีประสบการณ์ภาคสนามมากนัก ต้องมาเจอสงครามระหว่างประเทศของจริง แถมต้องจับคู่กับเจ้าหน้าที่ฝีมือฉกาจที่มี Mindset แตกต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งยึดถือความต้องถูกที่ได้มาด้วยกระบวนการตามกฎหมาย แต่กลับกันอีกคนหนึ่งโหยหาความถูกต้องแม้ต้องแลกมาด้วยวิธีสกปรกแบบไหนก็ยอม แล้วไอ้พล็อตประมาณนี้ มันก็เหมือนเป็นลายเซ็นของคุณ นาฮยอน เพราะเรื่อง The Prison เองก็มีวิธีเล่าประมาณนี้เหมือนกัน ถึงแม้บางอย่างอาจจะจำเจไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า Yaksha เรื่องนี้ยังคงฝีไม้ลายมือของผู้กำกับได้อย่างเต็มเปี่ยม และเนื้อของการสืบสวนสอบสวนผู้เขียนมองว่าทำออกมาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย การวางเมืองเสิ่นหยางให้เป็นโลเคชั่นหลักของเรื่อง เมืองที่เปรียบเสมือนประตูไปสู่เกาหลีเหนือพร้อมถูกโจมตีจากประเทศรอบข้างได้ทุกเมื่อ และมันก็ทำให้เสิ่นหยางนั้นเต็มไปด้วยสายลับสองหน้าแฝงตัวมาอยู่ในหน่วยงานใหญ่ๆ ไอเดียตรงนี้มันเลยทำให้ผู้กำกับเองสามารถแอบใส่ทฤษฎีสมคบคิดบางอย่างเข้ามาได้แนบเนียน ในส่วนของแอ็กชันนั้นก็งานดีไม่แพ้กัน สเกลหนังที่ค่อนข้างใหญ่ดูเป็นหนังลงโรงภาพยนตร์ดีๆหนึ่งเรื่องได้เลย เรียกได้ว่าอลังการตั้งแต่ฉากเปิดที่ตัวละคร คังอิน ไล่ฆ่าหนอนบ่อนไส้ในหน่วยหรือพวกฉากที่ลูกทีมของเขาบุกเข้าไปช่วยตัวประกันก็ล้วนทำอกมาค่อนข้างเนี้ยบ แต่ด้วยความที่หนังมันเป็นลายเซ็นของผู้กำกับ นาฮยอน และการพยายามทำหนังให้อยู่ในเรทพีจี 16 เห็นได้ชัดว่า ความดิบ ความเถื่อน ค่อนข้างถูกจำกัดลงไปเยอะ ผู้ชมคนใดที่หวังอยากให้ Yaksha มีความเป็น The Man From Nowhere หรือมีความโหดในระดับซีรีส์ My name ตรงนี้อาจจะผิดหวังได้ เพราะหลักๆคาแรคเตอร์หนังนั้นมันจะออกไปในทางสายลับที่มีแอ็กชันแบบเวอร์ๆ ทีมของ คังอิน ที่โคตรเก่ง เก่งขนาดสู้กับหน่วยคอมมานโดได้แบบไม่มีรอยขีดข่วน ดูไปดูมา ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดู มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล เวอร์ชั่นเอเชียมากกว่าที่เปลี่ยนหัวหน้าทีมจาก อีธาน ฮันท์ มาเป็น จีคังอิน แทนพลังนักแสดงบทมันจะไปเด่นที่ 2 ตัวละครอย่าง จีฮุน กับ คังอิน ซะเป็นส่วนใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนดู สองคมสองคน เวอร์ชั่นซอฟต์ลงมา แต่ถึงกระนั้นมันก็มีข้อดีตรงที่ผู้ชมจะได้เห็นพัฒนาการสองตัวละครที่บุคลิกของทั้งคู่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสถานการณ์ในเรื่อง คนหนึ่งเริ่มมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยอมเปิดใจ ยอมเชื่อใจอีกครั้ง หลังจากเคยผิดพลาดจนเพื่อนในทีมตายหมด ส่วนตัวละครคนอื่นผู้เขียนค่อนข้างเสียดายที่แอร์ไทม์พวกเขาน้อยไปหน่อย บวกกับบทที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย ถึงจะมีการปู background ความเป็นมาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คนดูอินไปกับพวกเขามากนัก และอีกหนึ่งตัวละครที่น่าเสียคือตัวร้ายในเรื่องที่ดูไม่ค่อย impact เท่าไร แอบเสียดายตรงพล็อตที่อุตส่าห์ปูมาซะใหญ่โต แต่ตัวร้ายกลับดูไม่ค่อยเก่ง คือถ้าวัดกันหมัดต่อหมัดแทบสู้ทีม คังอิน ไม่ได้เลยจุดด้อยภาพรวมของเนื้อเรื่องที่หมดที่ไปไม่สุด คือเปิดเรื่องมาดีนะ พล็อตก็วางมาใช้ได้ ประเด็นสายลับต่างๆที่เล่าออกมาก็ค่อนข้างเมคเซ้นส์ แต่พอดูไปเรื่อยๆจนถึงช่วงท้ายช่วงที่หนังพยายามเร่งเครื่องบิวส์อัพคนดู มันก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นหนังตลาดทั่วไปที่ใส่รสชาติหลายๆอย่างเข้ามาในเรื่องให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เท่านั้น และตอนที่หนังเฉลยตัวร้ายของเบื้องหลังทั้งหมดมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิดหวังเข้าไปใหญ่ เพราะหนังเองไม่พยายามหักมุม ไม่พยายามพลิกล็อคคนดูเลยด้วยซ้ำ Last boss ที่คนเกรงกลัวจนไม่กล้าแม้จะปริปาก กลับถูกเฉลยออกมาไม่ว้าวเลยแม้แต่น้อยสรุปYaksha เรื่องนี้ ถือได้ว่าเป็นหนังแอ็กชันอีกหนึ่งเรื่องที่ดูเพลินๆอยู่ในมาตรฐานที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ความกล้าของผู้กำกับที่เอาเรื่องละเอียดอ่อนระหว่างประเทศมาตีความเป็นหนังสายลับที่มีกลิ่นอายความเป็น มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล หน่อยๆตรงนี้เป็นหนึ่งไอเดียที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบเลย ถึงแม้จะมีจุดขัดใจบ้างกับฉากแอ็กชันที่มาในเรทพีจี 16 หรือช่วงท้ายของหนังที่ไม่ได้ impact คนดูมากนัก แต่มันก็ยังพอถูไถไปได้ถ้าเกิดท่านผู้ชมไม่ได้คาดหวังกับหนังมาก เน้นเสพแอ็กชันมันส์ๆเพียงอย่างเดียวhttps://youtu.be/J2_pLLMf2toรูปภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก : Twitter : BINGED | ภาพประกอบที่ 1 : IG : haesoopark_official | ภาพประกอบที่ 2 : 2l_kjh | ภาพประกอบที่ 3 : IG : 2l_kjh | ภาพประกอบที่ 4 : IG : 2l_kjh | ภาพประกอบที่ 5 : Twitter : Korea Odyssey | วิดีโอประกอบ : Netflix Asia บทความแนะนำจากผู้เขียนรีวิว Cracow Monsters ศึกไสยศาสตร์ระหว่างปีศาจกับนักศึกษาแพทย์รีวิว Rescued by Ruby (Netflix) หนังฟีลกู๊ด เอาใจคนรักน้องหมารีวิว The Adam Project (Netflix) หนังครอบครัวที่แอ็กชันดูสนุกรีวิว Feria: The Darkest Light ซีรีส์ที่มาในแนวความเชื่อ ลัทธิบูชาปีศาจรีวิวหลังดูจบ All of Us Are Dead (Netflix) ซีรีส์ซอมบี้บุกโรงเรียนกับเนื้อเรื่องที่อัดแน่นมาครบทุกรสชาติเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !