Justice League เป็นหนังฟอร์มทีมฮีโร่ของฝั่ง DC ที่เข้าฉายไปในปี 2017 ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าตัวหนังเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ทั้งการเปลี่ยนผู้กำกับกลางคัน การแทรกแซงของฝ่ายบริหาร การรื้อบทหนังเดิมทิ้งเกือบหมด การเร่งงานให้ทันฉายที่กำหนด ทำให้ภาพรวมของมันดูจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ หลังจากนั้นชาวเน็ตทั่วโลกก็ได้รู้ว่ามันมีไฟล์หนังต้นฉบับถูกเก็บไว้ จนทำให้เกิดเหตุการณ์ #ReleasetheSnyderCut ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ทำให้ทางผู้บริหารของ Warner ต้องดึงตัวคุณ Zack Snyder ผู้กำกับต้นไอเดียที่ได้ถอนตัวไป ให้กลับมาสานต่อสิ่งที่ตัวเองค้างคาเอาไว้จากการนำไฟล์หนังดั้งเดิมมาเรียบเรียงใหม่และถ่ายทำเพิ่มเติม ก็ทำให้เกิดหนัง Justice League ในรูปแบบที่ควรจะเป็นจัดเต็ม 4 ชั่วโมงในชื่ออย่างเป็นทางการว่า Zack Snyder’s Justice League หรือ Justice League Snyder Cut นั่นเองใน Justice League Snyder Cut จะยังคงโครงเรื่องเหมือนกับเวอร์ชั่นปี 2017 แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งการดำเนินเรื่อง โทนสีของหนังและฉากต่อสู้ให้คงความมืดหม่น ตัวละครมีมิติลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะตัวละคร Cyborg ที่ถือว่าเป็นแกนหลักสำคัญของเนื้อเรื่อง เราจะได้เห็นพื้นเพของเขาว่าเป็นอย่างไร เข้าใจความรู้สึกนึกคิด รวมถึงตัวละคร The Flash ก็ไม่ได้เป็นตัวฮาประจำกลุ่ม แต่เขามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการต่อสู้ แทบจะเรียกว่าเป็นตัววัดผลแพ้-ชนะในศึกสงครามได้เลย แถมยังมีประเด็นพ่อ-ลูกที่สื่อออกมาได้ดีมากเมื่อพูดถึงมิติตัวละครนอกจากฝั่งฮีโร่ ทางฝั่งตัวร้ายอย่าง Steppenwolf เองก็มีปูมหลังให้ทราบเหมือนกันว่าเขาเป็นคนอย่างไร อะไรคือแรงผลักดันให้ต้องค้นหา Mother Box ให้ได้ ซึ่งดูแล้วก็รู้สึกน่าสงสารตัวละครนี้เหมือนกัน หรือ Darkseid ที่เป็นวายร้ายใหญ่ของเรื่องก็มีบทบาทแล้ว แม้จะโผล่มาในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็สัมผัสถึงความอำมหิตน่ากลัวการที่หนังมีความยาวถึง 4 ชั่วโมง ทำให้มีเวลาเล่าเรื่องได้มากขึ้น ได้ซึมซับตัวละครฮีโร่แต่ละคนได้อินกว่าเดิม โดยทุกคนจะมีเหตุผลรองรับในการเข้าร่วมทีม Justice League หรือแม้แต่ตัวละครรอง ๆ อย่าง Lois Lane แฟนสาวของ Superman ก็มีเรื่องราวให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังจากเสียคนรักไป แต่ที่น่าแปลกคือระยะเวลาหนังที่ยาวแต่กลับไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยครับ เหมือนว่าหนังมันไหลไปได้เรื่อย ๆหากจะว่าในส่วนของบทบู๊แอ็คชั่น มีการปรับเปลี่ยนไปพอสมควร ฉากต่อสู้ถูกเพิ่มเติมให้ลงตัวมากกว่าเดิมเพิ่มเติมคือความดุดัน มีซีน Slow Motion สวย ๆ ตามสไตล์ผู้กำกับ แต่ก็ยังคงความมันส์ระเบิด โดยเฉพาะในฉาก Final Fight ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่านี่แหละคือ Teamwork อย่างแท้จริง ทุกตัวละครมีหน้าที่ต้องทำชัดเจน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและไม่มีใครเด่นกว่าใคร ทุกคนโดดเด่นเท่ากันหมด ต่างจากปี 2017 ที่ทุกคนต้องพึ่งพา Superman เพียงคนเดียวอย่างไรก็ตามถึงจะมีส่วนที่ดีงามมากขึ้น แต่ข้อเสียของ Justice League Snyder Cut คงจะอยู่ที่รายละเอียดบางฉากที่ดูเยิ่นเย้อมากไป ฉากบางฉากทำในรูปแบบ Slow Motion มากไปจนรู้สึกรำคาญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็สามารถพลิกฟื้นความย่ำแย่ในปี 2017 ได้ดีมาก ๆ มันควรจะเป็น Justice League ในแบบที่ควรจะเป็นจริง ๆสรุปแล้วใครที่เป็นแฟนฮีโร่ DC ต้องดูเท่านั้นครับ ลบล้างความย่ำแย่จากของเดิมได้หมดสิ้น และอย่าพลาดฉากท้ายเรื่องที่มีทีเด็ดอย่าง Joker ที่ได้ปะทะคารมกับ Batman ฉากนี้บอกเลยว่าขนลุกสุด ๆ เลยครับScore: 8/10#JusticeLeagueSnyderCutที่มารูปภาพ : ปก Justice League / รูปภาพประกอบที่ 1 Justice League / รูปภาพประกอบที่ 2 Justice League / รูปภาพประกอบที่ 3 Justice League / รูปภาพประกอบที่ 4 Justice Leagueจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !