สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุก ๆ ท่าน วันนี้ เซเซ มีบทความดีดีมาฝากทุก ๆ คนอีกแล้วค่ะ นั่นก็คือ รีวิว ชีวิตนักศึกษาป.โท ภาคปกติ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รอดหรือร่วง!? ฮ่า ๆ ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า การรีวิวในครั้งนี้ มาจากการรีวิวโดยประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองล้วน ๆ นะคะ ซึ่งประสบการณ์ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น บทความนี้เป็นเพียงแค่การรีวิวในมุมมองเดียว และไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เซเซ จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเกิดขึ้นกับทุกคนเสมอไป ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและช่วงเวลาด้วยค่ะ อิอิ ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินและได้ประโยชน์จากบทความรีวิวชีวิตเด็กป.โทในวันนี้นะคะ ไปเริ่มกันเลย! หลังจาก เซเซ จบการศึกษาปริญญาตรีแล้ว ก็ได้ตัดสินใจที่จะเรียนต่อปริญญาโทเลย การตัดสินใจเรียนต่อในครั้งนี้มีปัจจัยมาจาก 1. ช่วงที่ เซเซ ใกล้จะจบปี 4 เป็นช่วงเริ่มต้นของโรคระบาด COVID-19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลง ตอนนั้นเราเลยคิดว่าถ้าเรายังไม่เจองานที่เราอยากทำ งั้นเราไปเรียนต่อก่อนดีกว่า เลยตัดสินใจสมัครสอบเข้าศึกษาต่อป.โท ที่คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทันที และ 2. ความยึดติดกับชีวิตนักศึกษาและมิตรภาพตอนป.ตรี ต้องยอมรับเลยว่า เราเป็นนักศึกษาปี 4 ในยุคโรคระบาด โรคระบาดไม่พอ ยังมาเจอกับฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลให้ช่วงเทอมสุดท้ายของการเรียน เราไม่สามารถไปเรียนในห้องเรียนได้ เพื่อน ๆ เริ่มทยอยกันกลับบ้าน เพราะความไม่มูฟออนของเราเอง เลยรู้สึกว่าเรายังอยากเรียนต่อ (แต่ไม่ใช่ไม่อยากจบนะ ฮ่า ๆ) ทำไมต้อง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่? ด้วยความที่ เซเซ เรียนจบจากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม สาขาการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เราเลยคิดว่าหากเราจะเรียนต่อในสาขาใดสาขาหนึ่ง ก็ควรจะเป็นสาขาที่มีความเกี่ยวข้องและสามารถนำวิชาความรู้ที่ได้จากป.ตรี มาปรับใช้ได้ด้วย ตอนป.ตรี เซเซ เรียนสายพัฒนาสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ ก็เลยตัดสินใจว่า เราลองหันมาเรียนป.โทในสาขาด้านการเมืองดูบ้าง เพราะมิติของสังคมประกอบไปด้วยตัวแสดงที่หลากหลาย การจะเป็นนักพัฒนาที่ดี เราควรจะมีความรู้ ไม่เพียงแต่การพัฒนาสังคมเท่านั้น แต่เราควรรู้โครงสร้างของสังคมและสถาบันการเมืองการปกครองหรือมิติด้านการเมือง ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้วย การสมัครสอบเข้าปริญญาโท ภาคปกติ ของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปีการศึกษา พ.ศ. 2563 (**ปัจจุบันและอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง**) นอกจากจะใช้เอกสารพื้นฐานทั่วไปในการสมัครแล้ว ยังใช้ผลการสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งในตอนนั้นเราเลือก ยื่นคะแนนโทอิค (Toeic) และจะต้องยื่น โครงร่างวิทยานิพนธ์ (Research Proposal) ของเรา ว่าเราสนใจที่จะทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องใด หลังจากผ่านขั้นตอนการยื่นเอกสารไปแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการสอบข้อเขียน ในตอนนั้นจะมีสอบวิชาความรู้เกี่ยวกับรัฐศาสตร์ โดยเป็นการสอบแบบ "อัตนัย" หรือ "สอบเขียน" นั่นเอง และอีกวิชาเป็นการสอบภาษาอังกฤษ พอผ่านข้อเขียนแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการ สอบสัมภาษณ์ ซึ่งการสอบสัมภาษณ์ในตอนนั้น มีคณะกรรมการมาสอบเราประมาณ 4-5 ท่าน (คณะกรรมการที่มาสอบสัมภาษณ์เป็นอาจารย์ในสาขาการเมืองกันปกครองค่ะ) อาจารย์มีความเป็นกันเองมาก นอกจากถามประวัติส่วนตัวแล้วก็จะเป็นคำถามเกี่ยวกับพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับสังคมปัจจุบัน ความรู้เกี่ยวกับสาขาวิชาที่เรากำลังจะศึกษาต่อ รวมถึงหัวข้อวิจัยที่เราสนใจด้วยค่ะ ป.โท สาขาการเมืองการปกครอง เรียนอะไรบ้าง? ตอนปี 1 จะเรียนวิชาพื้นฐานสำหรับนักศึกษาป.โท ก็จะประกอบไปด้วยวิชา ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ ระเบียบวิธีวิจัย การใช้เทคโนโลยีในการทำวิจัย การเมืองเปรียบเทียบ รัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ การเมืองท้องถิ่นเปรียบเทียบ เป็นต้น พอใกล้จบปี 1 อาจารย์ก็จะเริ่มให้นักศึกษาส่งโครงร่างวิทยานิพนธ์อีกครั้ง เพื่อเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้กับนักศึกษาแต่ละคน สำหรับปี 2 ก็จะเป็นการเริ่มต้นทำวิทยานิพนธ์ของตนเอง โดยในช่วงเทอม 1 จะเป็นการสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ และเทอม 2 จะเป็นการลงพื้นที่เก็บข้อมูลวิจัย (ปล. หากทำได้ตามกำหนดการนะคะ ฮ่า ๆ) การปรับตัวเข้ากับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไม่ได้ยากนักสำหรับ เซเซ อาจจะเนื่องจากตอนป.ตรี เราเรียนที่เชียงราย ป.โทเราก็แค่ย้ายมาเชียงใหม่ บรรยากาศอาจจะแตกต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ยากคือ "การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนจากนักศึกษาป.ตรี เข้าสู่การเป็นนักศึกษาป.โท" หากถามว่า มันแตกต่างกันอย่างไร แล้วยากไหม? สำหรับเราแล้ว ก็ยากพอสมควรค่ะ ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนเรียนสาขาการพัฒนาระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง การเรียนการสอนของสาขานี้ค่อนข้างเปิดกว้างให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ภายในสาขา และเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เลยทำให้ เราค่อนข้างไม่ตกใจกับวัฒนธรรมการเรียนแบบนี้ในป.โทมากนัก แต่! ตอนเป็นนักศึกษาป.ตรี เราเรียนร่วมกับเพื่อนร่วมห้องที่มีจำนวนประมาณ 20-40 คนต่อห้องเรียน หมายความว่า เราอาจไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือได้พูดในทุก ๆ คาบ (บวกกับโดยส่วนตัว เราเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดในที่สาธารณะมาตั้งแต่เด็กแล้ว) แต่การเรียนป.โท เรามีนักศึกษาที่เรียนด้วยกันเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น (ส่วนใหญ่ภาคปกติจะเรียนกันน้อย) ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ท้าทายมาก เพราะเราต้องแสดงความคิดเห็นทุกคาบ เรียน 3 ชั่วโมงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาของการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือทำกิจกรรมกันภายในห้อง เรียกได้ว่า ทุกคนต้องมีส่วนร่วมหมด จริง ๆ วิธีการเรียนการสอนแบบนี้ดีมาก ๆ ในความคิดเห็นของเซเซ เพราะมันเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้มีความคิดเป็นของตนเอง ฝึกกระบวนการคิดและอ้างอิงเหตุผลให้มากขึ้น ซึ่งมันทำให้เราตระหนักได้ว่า เด็กหลาย ๆ คนอาจจะกำลังเผชิญอยู่กับปัญหาที่เราเจอ นั่นก็คือ การไม่กล้าแสดงออกในที่สาธารณะ 1. อาจจะเพราะเรากลัวว่าสิ่งที่เราพูดจะผิด เราไม่มั่นใจในตัวเอง 2. เราไม่ได้รับโอกาสให้พูด เพราะตอนเด็ก ๆ บางคนอาจจะถูกสอนให้อยู่แต่ในกรอบอย่างเดียว แต่ทักษะนี้จำเป็นมากในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท นอกจากนั้น การเรียนป.โท ยังสอนให้เรารู้จักค้นคว้าด้วยตัวเอง เพราะโดยส่วนตัวการเรียนป.โทของเซเซเอง ไม่เหมือนการเรียนในระดับป.ตรีเลย เนื่องจากตอนป.ตรีเรามีเพื่อนที่คอยช่วยกันติว ช่วยกันเรียน แต่พอมาเรียนป.โท เราจะต้องค้นคว้าเองเป็นหลัก พูดง่าย ๆ คือมาเรียนอย่างเดียวแท้ ๆ ซึ่งวิธีการเรียนระดับป.โท ในลักษณะนี้ มันทำให้เราต้อง เข้าออกห้องสมุดเป็นว่าเล่น ถึงแม้เราจะไม่ชอบเข้าห้องสมุดก็ตาม และที่สำคัญ คือ การอ่านบทความหรือหนังสือภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่นักศึกษาป.โททุกคนต้องเจอ ถึงแม้ว่าจะเรียนหลักสูตรภาษาไทยก็ตาม ดังนั้น การเป็นนักศึกษาป.โทจะต้องค้นคว้าและอ่านหนังสืออยู่เสมอ โดยเฉพาะการเรียนในภาคปกติเหมือนที่ เซเซ เรียน ภาคปกติ แตกต่างกับ ภาคพิเศษอย่างไร? โดยส่วนตัวมองว่า ภาคพิเศษเป็นการเรียนเสาร์-อาทิตย์เป็นหลัก ส่วนใหญ่นักศึกษาที่เรียนภาคพิเศษจะเป็นคนที่ทำงานแล้ว และต้องการเพิ่มพูนความรู้และวุฒิการศึกษาเพื่อเอาไปประกอบการทำงานและโอกาสในอนาคต ส่วนภาคปกติ เราจะเรียนเหมือนนักศึกษาป.ตรี คือเรียนจันทร์-ศุกร์ และเด็กภาคปกติ จะถูกคาดหวังว่าเราจะเรียนจบไปอยู่ในแวดวงวิชาการของสังคม ที่สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับสังคมได้ จึงไม่แปลกเลยที่นักศึกษาภาคปกติจะมีเนื้อหาการเรียนที่เข้มข้น (ในหนึ่งวิชานักศึกษาภาคปกติจะใช้เวลาเรียน 1 เทอม แต่นักศึกษาภาคพิเศษจะเรียนครึ่งเทอม) และมีเงื่อนไขการจบการศึกษาที่เข้มงวดกว่านักศึกษาภาคพิเศษ จากเส้นทางที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แค่นั่งพิมพ์หรืออ่านตอนนี้อาจจะดูง่าย แต่กว่าจะทำมันได้แต่ละขั้นตอน ต้องหมดไฟไปหลายร้อยครั้ง หมดไฟไปทีหนึ่งก็พยายามจุดไฟมันขึ้นมาใหม่แบบนี้อยู่เรื่อย ๆ มีหลายครั้งที่ทำให้เซเซ รู้สึกอยากลาออก โดยเฉพาะเวลาที่เราเริ่มอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ มองเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันทยอยประสบความสำเร็จในชีวิต บางคนมีครอบครัว บางคนมีงานทำที่มั่นคง มันเลยเกิดคำถามขึ้นมาว่าเรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้? มีหลายจังหวะที่ผุดคิดขึ้นมาในลักษณะนี้ ซึ่งมันให้บทเรียนกับเราว่า "การพยายามเอาชนะตัวเอง" เป็นยังไงและมันยากแค่ไหน แต่คิดในอีกมุมมองหนึ่ง บางครั้งเราก็เอาตัวเองไปยึดติดกับกรอบและค่านิยมของสังคมจนเกินไป ว่าอายุเท่านี้ควรจะมีอะไรเป็นของตนเองบ้าง หรือเราควรจะประสบความสำเร็จตอนอายุเท่าไหร่ ซึ่งหากทำได้ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเส้นทางชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป้าหมายแตกต่างกัน นิยามการประสบความสำเร็จก็แตกต่างกัน เราเลยมองว่ามันไม่ได้สำคัญที่สุด สุดท้ายนี้ อยากจะบอกทุกคนที่กำลังเรียนอยู่ป.โท หรือกำลังตัดสินใจจะศึกษาต่อป.โท ว่า "อย่ายอมแพ้นะ" เพราะเซเซ เชื่อเหลือเกินว่า เมื่อมันเป็นจุดมุ่งหมายของเรา หากเราทำมันได้สำเร็จ เราจะเป็นอีกหนึ่งคนที่มีคุณภาพและสามารถสร้างประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งให้กับสังคมอย่างที่เราตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ และอาจารย์ของเซเซ ในคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครองเคยบอกนักศึกษาป.โทในห้องเรียนว่า "การเรียนป.โท จิตใจนั้นสำคัญมาก" หากมีปัญหาให้พูดคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน พี่เลขาคณะ หรืออาจารย์ในคณะก็ได้ จงอย่าทอดทิ้งกัน ซึ่งมันคือเรื่องจริง เพราะ "คนรอบข้างที่ดีเป็นกำลังใจที่ดีมาก ๆ สำหรับการเรียนป.โท" ขอบคุณทุก ๆ คนที่อ่านจนจบน้า เซเซขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทุกคนกำลังทำหรือสิ่งที่อยากจะทำนะคะ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะติดตามการรับสมัครนักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ ได้ที่ : Official Facebook Page "Political Science, CMU" หรือที่ Websiteเครดิตภาพภาพปก : Official Facebook Page "Political Science, CMU" ภาพประกอบบทความภาพที่ 1 : Official Facebook Page "Political Science, CMU" ภาพประกอบบทความภาพที่ 2 : Official Facebook Page "Political Science, CMU" ภาพประกอบบทความภาพที่ 3 : ถ่ายโดยนักเขียนภาพประกอบบทความภาพที่ 4 : Official Facebook Page "Political Science, CMU" ภาพประกอบบทความภาพที่ 5 : ถ่ายโดยนักเขียนภาพประกอบบทความภาพที่ 6 : Official Facebook Page "Political Science, CMU" ภาพประกอบบทความภาพที่ 7 : Official Facebook Page "Political Science, CMU" อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !