ความเจ็บป่วย และโรคต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเอง แต่ก็เป็นตัวเองอีกนั่นแหละค่ะ ที่ทำให้เกิด… ซึ่งอาจเป็นเพราะความไม่รู้ หรือการละเลยที่ไม่ได้ใส่ใจก็ได้ เช่นเดียวกับการดื่มน้ำ เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน ส่วนที่เหลือก็…รู้… แต่ก็ละเลย หรือไม่ได้ใส่ใจผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งใน จำนวนคนที่รู้ว่า ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6 -8 แก้ว แต่ก็ไม่รู้เหตุผลว่า ทำไมต้องดื่มมากขนาดนั้น และจะเกิดอะไรขึ้นหากร่างกายขาดน้ำ (ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่า เคยรู้ถึงเหตุผลและผลเสียเหล่านี้หรือเปล่า ) จึงได้ละเลยไม่ใส่ใจ จะดื่มแค่หลังอาหารนิดหน่อย และเมื่อรู้สึกหิวเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เพราะเหตุนี้ โรคต่าง ๆ จึงได้มาหาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งผู้เขียนจะแชร์ประสบการณ์กับคุณผู้อ่านต่อไปค่ะ จากภาพ จะเห็นว่าในร่างกายของมนุษย์นั้น มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 70% จึงเป็นเหตุผลที่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ กับความต้องการในแต่ละวัน แม้ในขณะที่ไม่รู้สึกหิว ก็ต้องดื่ม เพราะร่างกายต้องการใช้เพื่อรักษาความสมดุลในระบบต่างๆ ให้คงที่อยู่เสมอ แต่หากได้รับไม่เพียงพอล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? มาดูกันเลยค่ะ…. ( จริง ๆ แล้วมีหลายระบบเลย ที่จะเกิดผลเสียจากการขาดน้ำ แต่เนื่องจากเป็นการแชร์ประสบการณ์ จึงอยากจะพูดถึงเฉพาะส่วนที่ทำให้ผู้เขียนมีอาการอย่างชัดเจน เท่านั้นนะคะ )เลือด (ระบบไหลเวียนโลหิต ) เลือด ต้องการน้ำอย่างเพียงพอเพื่อรักษาความข้นให้พอดี แต่หากน้ำไม่เพียงพอแล้ว ก็จะทำให้เลือดมีความข้นหนืด ส่งผลให้ หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นในการสูบฉีดเลือด เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ และเนื่องจากการทำงานอย่างหนักของหัวใจนี่เอง ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็น"โรคหัวใจ"ได้ และจากการที่เลือดมีความข้นหนืด ทำให้เส้นเลือดหดตัว การจะไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ จึง ทำได้ไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร อย่างเช่น สมอง ซึ่งหากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอแล้ว ก็จะทำให้เกิดโรคและอาการต่างๆ ขึ้นได้ เช่น โรคสมองเสื่อม อาการวูบ หน้ามืด เวียนหัว หรือช็อกได้เลยล่ะค่ะ และจากประสบการณ์ของผู้เขียน ก็มีอาการคล้าย ๆ อย่างนี้เลย คือ จะหน้ามืด เวียนหัวบ่อยมาก เวลานอนหรือนั่งหากจะลุกเดิน เหมือนจะวูบเลยค่ะ ต้องยืนนิ่ง ๆ สักแป๊บนึง ถึงจะเดินได้ ซึ่งก็มักจะเป็นอย่างนี้บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าเกิดจากการขาดน้ำ จนเมื่อ 5 ปีก่อน ได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า " หลาย ๆ โรคที่คนเป็นกันอยู่นั้น สาเหตุเกิดจากการขาดน้ำแค่นั้นเอง หากดื่มน้ำให้เพียงพอ โรคก็จะหายได้ " และด้วยความที่เป็นคนดื่มน้ำน้อยอยู่แล้ว จึงคิดว่าบางทีอาการที่เป็นอยู่ อาจเกิดจากการขาดน้ำก็ได้ ก็เลยเริ่มดื่มน้ำให้เพียงพอตั้งแต่นั้นมา แล้วอาการต่าง ๆ เหล่านั้น ก็หายไปเลยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ค่ะ จนมาถึงตอนนี้ ก็ไม่มีอีกเลย เห็นไหมคะว่า น้ำเป็นทั้งสาเหตุของการเกิดโรค และยังเป็นยารักษาโรคเหล่านั้นอีกด้วยไต ( ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ) ไต ต้องการน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย ทางปัสสาวะ หากร่างกายมีน้ำไม่เพียงพอ นานเข้าก็จะทำให้เกิดนิ่วได้ ทั้งในไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และท่อไตได้ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นนิ่วหรือยัง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ปัสสาวะ จะรู้สึกปวดกระเพาะปัสสาวะมาก ฉี่เสร็จก็เหมือนไม่เสร็จน่ะค่ะ มีความรู้สึกเหมือนอยากจะฉี่อีก แต่มันไม่มีน้ำปัสสาวะแล้ว เป็นอย่างนี้ประจำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็น โรคอะไรหรือยัง จนกระทั่งหลังจากดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้ว อาการเหล่านี้ก็หายไปเองโดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ และไม่เคยมีอาการอีกเลยจนทุกวันนี้ จึงได้รู้ว่า แค่การดื่มน้ำให้เพียงพอนั้น ช่วยได้จริง ๆ ทั้งป้องกันและรักษา ไปในตัวด้วยลำไส้ใหญ่ ( ระบบขับถ่าย) ลำไส้ใหญ่ ต้องการน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อขับ กากอาหารที่เหลือออกมาในรูปอุจจาระ หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอแล้วยังทำให้ท้องผูก (คือจากที่ได้รู้มาค่ะ) แต่ขอบอกตรง ๆ เลยว่า ผู้เขียนเป็นโรคท้องผูกมาตลอดค่ะ แม้ว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาจะดื่มน้ำเยอะ ( 2-3 ลิตร /วัน ) แล้วก็ตาม ท้องก็ยังผูกประจำ… อาจเป็นเพราะกินผักและผลไม้น้อยไปก็ได้ เลยทำให้แม้จะดื่มน้ำเยอะแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ ซึ่งโรคท้องผูกของผู้เขียนนั้น แก้ได้โดยการกินกล้วยน้ำว้าค่ะ หากคุณผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านบทความเรื่องนี้ ก็ลองไปอ่านดูนะคะ " รีวิว กล้วยน้ำว้ากินยังไงให้เป็น..ยา " ซึ่งผู้เขียนได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองจากการกินกล้วยน้ำว้า ให้เป็นยาและการรับผลลัพธ์ที่เกินคาดค่ะ เห็นไหมคะว่า แค่การดื่มน้ำไม่พอนั้นทำให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ เกิดการทำงานผิดปกติ ขนาดไหน ฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อช่วยป้องกันและรักษาในอาการที่ยังไม่รุนแรงได้ เพราะหากปล่อยเนิ่นนานไป ก็อาจจะกลายเป็นโรคประจำตัวที่ต้องไปหาหมอ และกินยาเป็นประจำแทนนะคะ และอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ คือ ในแต่ละวันนั้น ร่างกายได้สูญเสียน้ำไปหลาย ๆ ทางด้วยกัน ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว เช่น... 1. ทางผิวหนัง เช่นเหงื่อ, น้ำตาด้วยกิจกรรมในแต่ละวัน ทำให้ร่างกายเสียน้ำในรูปของเหงื่อ ไม่ว่าจะ เป็นการออกกำลังในรูปแบบต่าง ๆ การทำงานกลางแจ้ง การอยู่ในที่ร้อนอบอ้าว ซึ่งล้วนแล้วทำให้เหงื่อออกทั้งนั้นล่ะค่ะ 2. การขับถ่าย ทั้งปัสสาวะและอุจจาระเป็นกิจวัตรที่ทุกคนต้องมีในแต่ละวันอยู่แล้ว ต่อให้ดื่มน้ำน้อยแค่ไหนก็ตาม วันหนึ่งก็ต้องปัสสาวะอยู่ดี ส่วนการถ่ายอุจจาระนั้น ทุกครั้งก็จะเกิดการเสียน้ำด้วย ไม่ว่าจะถ่ายปกติ หรือท้องเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท้องเสียแล้ว ก็จะยิ่งสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ 3. ทางการพูดคุยหรือแม้แต่การหายใจ เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน คงจะเกิดคำถามที่ว่า "แค่การพูดกับการหายใจก็สูญเสียน้ำเหรอ???" คำตอบคือ ใช่ค่ะ ซึ่งผู้เขียนก็มีประสบการณ์ที่ว่า เวลาพูดเยอะ ๆ หรือคุยนาน ๆ จะรู้สึกคอแห้งมาก แต่ก็ไม่รู้ว่า นั่นคือการเสียน้ำในร่างกาย เชื่อว่าคุณผู้อ่านก็คงมีประสบการณ์ในทำนองนี้เหมือนกันค่ะ ฉะนั้นในเมื่อร่างกายต้องการน้ำมากขนาดนี้ ควรจะดื่มแค่ไหนถึงจะเรียกว่า " เพียงพอกับความต้องการของร่างกายล่ะ "แม้จะมีการแนะนำว่า ในแต่ละวัน ผู้หญิงควรจะดื่ม 2 - 2.7 ลิตร/วัน ส่วนผู้ชาย 2.5 -3.7 ลิตร /วัน ก็ตาม ก็ใช่ว่าทุกคนจะต้องดื่มในปริมาณเท่ากัน แต่อย่างน้อย ๆ แล้ว ผู้หญิงไม่ควรจะต่ำกว่า 2 ลิตร /วัน ส่วนผู้ชายก็ไม่ควรจะต่ำกว่า 2.5 ลิตร /วัน ส่วนการจะต้องดื่มมากกว่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมและการสูญเสียน้ำของแต่ละคน เช่น หากเสียเหงื่อมาก หรือท้องเสีย ก็ต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วยค่ะ จะรู้ได้ยังไงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอ...ง่าย ๆ เลยก็คือ สังเกตุจาก สีปัสสาวะของตัวเองค่ะว่า มีสีเข้มหรืออ่อน ก็จะรู้ว่าขาดน้ำหรือไม่ค่ะ ฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วว่า การที่ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการนั้น จะทำให้มีความเสี่ยงเป็น โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคท้องผูก อีกทั้งโรคนิ่ว ในระบบทางเดินปัสสาวะต่าง ๆ ก็ต้องป้องกันตัวเองแต่เนิ่น ๆ หรือรักษาในขณะที่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง โดยการแค่ดื่มน้ำสะอาดให้เยอะกว่าที่เคย ซึ่งไม่ได้ใช้แรงหรือเสียเพิ่มอะไรเลยค่ะ อาจจะแค่รู้สึกรำคาญบ้าง ที่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น แต่อย่าลืมนะคะว่า การปัสสาวะก็เป็นการขับของเสียออกจากร่างกายด้วยเหมือนกัน ส่วนคุณผู้อ่านที่มีกำลังมีอาการต่าง ๆ เหมือนประสบการณ์ของผู้เขียน หรือแม้แต่อาการอย่างอื่นก็ได้ โดยรู้ตัวว่าดื่มน้ำน้อยอยู่แล้ว ทั้งมีปัสสาวะมีสีเข้ม ก็ดื่มน้ำให้เพียงพอนะคะ หากเกิดจากการขาดน้ำแล้วล่ะก็ อาการเหล่านั้นก็จะหายไปเอง โดยที่ไม่ต้องไปหาหมอ หรือกินยาอะไรเลยค่ะ อีกอย่าง การดื่มน้ำ ยังช่วยป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วยนะคะ ผู้เขียนเองไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย ตั้งแต่ดื่มน้ำมาซึ่งเป็นเวลา5 ปีแล้วค่ะ น้ำที่ดื่มก็จะปริมาณ1500 มล. สองขวดต่อวัน เริ่มแรกก็ค่อย ๆ จิบ แต่จิบ บ่อย ๆ วิธีนี้จะไม่ทำให้อยากเข้าห้องน้ำทันที เหมือนกับการดื่มเป็นแก้วน่ะค่ะ ฉะนั้น" น้ำแค่ดื่มให้พอ ก็เป็นยา " ซึ่งได้ทั้งการป้องกันและการรักษาไปในตัวด้วยค่ะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ และหากเห็นว่ามีประโยชน์ ก็ช่วย แชร์ต่อให้กับเพื่อน ๆ หรือคนที่รักด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ เครดิตภาพ : ภาพที่ 1 โดย : Mohamed Hassan https://pixabay.com : ภาพที่ 2 โดย : Cleker-Free-Vector-Images https://pixabay.com : ภาพที่ 3 โดย : .Cleker-Free-Vector-Images https://pixabay.com : ภาพที่ 4 โดย : Mohamed Hassan https://pixabay.com : ภาพที่ 5 โดย : Mohamed Hassan https://pixabay.com : ภาพที่ 6 โดย : Mohamed Hassan https://pixabay.com : ภาพที่ 7 โดย : ผู้เขียน ภาพขอบคุณโดย : ผู้เขียน ปกโดย : ผู้เขียนอยากผอมหุ่นดี อยากมีซิกแพค หาอินสปายลดน้ำหนัก เข้าร่วมด่วนที่ฟิตแอนด์เฟิร์มคอมมูนิตี้