สวัสดีค่ะวันนี้จะมารีวิว "หลานม่า" ภาพยนตร์ไทยแนวดรามา-ครอบครัว ที่เข้าฉายได้ไม่ถึงสัปดาห์ ก็กวาดทั้งคำชมและรายได้ที่ล่าสุดพุ่งถึง 100 ล้านบาทแล้ว เรื่องราวจะเป็นอย่างไร จะร้องไห้หนักมากไหม ไปติดตามรีวิวกันเลยค่ะหมายเหตุ : มีการเปิดเผยเนื้อหาในเรื่อง (บางส่วน)ชื่อเรื่อง : หลานม่าชื่อภาษาอังกฤษ : How To Make Millions Before Grandma Diesผู้กำกับ : พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ (รับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ ทศพล ทิพย์ทินกร)สร้างโดย : จอกว้างฟิล์มจัดจำหน่ายโดย : จีดีเอช ห้าห้าเก้าฉายครั้งแรก 4 เมษายน 2567 เรื่องย่อhttps://youtu.be/0fksoEJvdLE?si=Z__EwM4IV7g1_Rlrหลังงานเชงเม้งบรรพบุรุษ "อาม่าเหม้งจู" เกิดล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้ได้ตรวจสุขภาพไปด้วย ผลออกมาว่า อาม่าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4นี่คือโอกาสทองของ "เอ็ม" หลานชายคนเดียวของอาม่า ในการตีวง ประชิดตัว เข้าดูแลโดยในใจแอบแฝงไปด้วยผลประโยชน์ เขาอยากได้บ้านของอาม่า เพื่อใช้สร้างตัวสุดท้ายแล้วแผนการของเอ็มจะสำเร็จไหม รับชมได้ในภาพยนตร์นะคะ นักแสดงบิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล รับบทเป็น "เอ็ม" หลานชายสุดแสบคนเดียวของอาม่า ตัวเขาเป็นนักศึกษา ที่ตัดสินใจดรอปเรียนเพื่อมาทำอาชีพนักแคสเกม หวังสร้างตัวและเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ผลลัพธ์ดันออกมาไม่ตรงกับที่หวัง ทำให้ยังต้องพึ่งแม่เมื่ออาม่าล้มป่วย เอ็มจึงหัวหมอเห็นช่องทางรวย พยายามทำทุกอย่างเพื่อขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในใจอาม่าเพื่อสิทธิ์ในการเป็นแคนดิเดตอันดับหนึ่งในการรับมรดก เอาชนะกู๋ทั้ง 2 คนที่เป็นลูกชายของอาม่าให้ได้บทนี้ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของบิวกิ้น ในแง่ที่ว่าเขาคือลูกหลานของคนไทยเชื้อสายจีน ด้านการแสดงเป็นธรรมชาติ ถ่ายทอดความเป็นคนรุ่นใหม่ได้ดี ทั้งแนวคิด ทัศนคติ ความเชื่อ รวมทั้งวิธีการปฏิบัติ ที่ผู้ใหญ่มาดูจะต้องส่ายหัวให้แน่ ๆ แม้แต่อาม่าก็มักจะบอกว่าเอ็มเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ไปเรื่อยสุด ๆ บทนี้มีทั้งคอมเมดี ดรามา และความสีเทาตามปกติของมนุษย์ที่ความโลภเริ่มครอบงำตัวละครนี้ไม่ได้มาสายดาร์กดำมืดอะไรขนาดนั้น เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้รับ แต่ในหลายสถานการณ์เขาก็เป็นผู้ให้ เอ็มได้เรียนรู้เข้าใจชีวิตมากขึ้น รวมทั้งเข้าใจในคำว่าครอบครัว เมื่อได้กลับมาเป็นหลานแบบเต็มเวลาของอาม่าอีกครั้ง ยายแต๋ว-อุษา เสมคำ รับบทเป็น "อาม่าเหม้งจู" ยายของเอ็ม มีลูกทั้งหมด 3 คน ปัจจุบันอยู่คนเดียวเพราะลูก ๆ ย้ายออกไปหมด ส่วนสามีก็ตายจากไปนานแล้ว บทอาม่าก็เหมือนผู้สูงอายุทั่วไปในสังคม ฟีลวัยรุ่นสวัสดีวันจันทร์ทั่วไป ไม่ได้เคร่งครัดในขนบโบราณจนมากเกินไป ยังมีใจเปิดรับความสมัยใหม่อยู่บ้าง ตัวบทมาในแนวที่ว่าเมื่อโรคร้ายมาเยือนและความตายกำลังจู่โจม แล้วใครล่ะจะได้สมบัติไป อาม่าแสดงมิติทางอารมณ์ได้ดีดูแล้วลังเลว่า อาม่า รักใครมากที่สุด การแสดงของยายแต๋ว ใน หลานม่า ถือเป็นการเดบิวต์ครั้งแรกในวงการแสดงภาพยนตร์ ในวัย 78 ปี โดยต้องร่วมงานกับนักแสดงที่มีประสบการณ์ในสายนี้มาพอสมควร แต่ยายแต๋วก็เล่นได้กลมกลืน มีเสน่ห์ ครบทั้งสุข ฮา เหงา ซึ้ง ดูเข้าถึงจับต้องได้ ดูมีเลือดมีเนื้อมีชีวิต ไม่ว่าจะในบริบทของความเป็น ลูกสาว เมีย แม่ และ อาม่า ตัวละครนี้เรียนรู้ชีวิตและมีการ Coming of Age อยู่เสมอจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตการแสดงหนังเรื่องแรกของนักแสดงไทยหลายคนที่ทำได้ดี จนถึงขั้นได้รับรางวัลมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับคนวัยเกือบ 80 ปี นี่ถือเป็นครั้งแรกของจอเงิน ผลงานของคุณยายในเรื่องนี้ถือเป็นกำลังใจที่ดีและสร้างแพสชั่นให้หลายคนมุ่งมั่นตั้งใจทำในสิ่งที่รัก เมื่อจังหวะชีวิตมาถึง เราก็จะมีที่ทางของเราอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนหวังและอยากเห็นคือ คุณยายแต๋วเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและถ้าได้รับรางวัลก็จะเป็นสถิติใหม่ของวงการหนังไทย ที่รางวัลตกเป็นของผู้สูงอายุ ผู้เขียนไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้นานแล้วในบ้านเรา เจีย-สฤญรัตน์ โทมัส รับบทเป็น "ซิว" แม่ของเอ็มและเป็นลูกสาวคนเดียวของอาม่า ปัจจุบันทำอาชีพเป็นพนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ต เธอยอมออกจากการเรียน มาช่วยแม่(อาม่า)ขายโจ๊ก เพราะไม่อยากงอมืองอเท้าซิวพยายามทำทุกอย่าง แต่ก็ดูเหมือนแม่จะรักพี่ชายและห่วงน้องชายมากกกว่า ทำให้ซิวมีกำแพงต่อแม่ นี่คือภาพแทนของลูกที่พร้อมดูแลแม่อยู่เสมอ แต่ด้วยความเป็นครอบครัวคนจีนจึงถูกมองข้ามจากบทผีชบาสุดสะพรึง บทแม่ของดาวฮอร์โมนผู้แสนดุและเข้มงวด บทผอ.ตัวแสบที่ชอบกินแป๊ะเจี๊ย สู่บท ซิว ที่มีความดรามามากที่สุด ในการรับบท ลูกสาวในครอบครัวคนจีน ที่สิทธิหลาย ๆ อย่างไม่เท่ากับลูกชาย แต่ถ้าถามหาคนดูแลพยาบาลพ่อแม่ยามชรา ก็ต้องเป็นลูกสาว พลเมืองชั้นสองในบ้านคนนี้นี่แหละนอกจากเอ็มกับอาม่า ก็บทแม่ของเอ็ม ที่เราอินและแอบน้ำตาซึมเล็กน้อยกับตัวละครนี้ อะไรจะเสียสละและเข้าใจโลกได้เบอร์นี้ ดู๋-สัญญา คุณากร รับบทเป็น "กู๋เคี้ยง" (ลุงของเอ็ม) เป็นลูกชายคนโตของอาม่า ที่เป็นลูกรักและได้ดังใจแม่มากที่สุด เรียนดี มีอาชีพที่ดี มีครอบครัวดี ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง นี่คือภาพแทนของลูกที่มีเงินแต่ไม่มีเวลาให้แม่บทนี้แอร์ไทม์และการแสดงไม่ได้เยอะ แต่ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความสีเทา เพราะตัวละครนี้คิดว่าตัวเองพริวิเลจและเหนือกว่าพี่น้องอยู่แล้ว เมื่อไม่เป็นไปตามฝันจึงแสดงความเป็นสีเทาออกมา เผือก-พงศธร จงวิลาส รับบทเป็น "กู๋โส่ย" (น้าของเอ็ม) ลูกชายคนเล็กของอาม่า มีนิสัยตลก เฮฮาไปเรื่อย ชอบเล่นไพ่เหมือนกับอาม่า ในบรรดาพี่น้องเขาคือคนที่ยังเอาตัวเองไม่รอดแถมติดการพนัน เวลากลับมาหาแม่ ก็มาเพราะลำบาก มาขอเงินไปประทังชีวิต เขาคือคน Loser ที่ (อาม่า) ห่วงมากที่สุด ลูกคนนี้ถ้าไม่มาอยู่กับแม่จะดีที่สุดเพราะหมายความว่าเขาเอาตัวเองรอดแล้วอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า เผือก-พงศธร เป็นนักแสดงสายดรามาที่ดี จริง ๆ พี่เขาก็เล่นมาหลายบทแล้ว แต่เป็นเราเองที่มีภาพจำในแนวคอมเมดี ตู-ต้นตะวัน ตันติเวชกุล รับบทเป็น "มุ่ย" ลูกพี่ลูกน้องของเอ็ม (ญาติฝ่ายพ่อ) เธอเรียนจบพยาบาลและรับหน้าที่เป็นกำลังหลักในการดูแลอากง (ปู่ของเอ็ม) ที่ป่วยติดเตียง หลังอากงตายมุ่ยได้รับรางวัลตอบแทนเป็นมรดกชิ้นใหญ่ เมื่อนำไปขาย ชีวิตของมุ่ยดีขึ้นทันที ทำให้เอ็มเห็นต้นแบบและอยากเป็นอย่างเธอบ้าง บทนี้คือภาพแทนของวัยรุ่นที่ต้องมาจับเจ่า อับเฉา ดูแลคนป่วย ก็ลุคเธอมันให้ เพราะเอาใจเก่ง พูดดี เป็นมิตร แต่พออากงตาย มุ่ยก็รวยขึ้นทันที แต่ก็ยังหารายได้ต่อด้วยการทำ OnlyFans ควบคู่กับการรับงานดูแลคนป่วยสูงอายุต่อไป ตูเล่นบทนี้ได้ดี ทำให้เราอยากติดตามว่าลึก ๆ แล้วมุ่ยรักอากงไหม หรือรักแค่เงิน ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องแก่นหลักคือ สะท้อนความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนจีน ความเป็นลูกสาว ลูกชาย ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน หน้าที่งานบ้าน ฟีลช้างเท้าหลังเป็นของผู้หญิง หน้าที่ทำงานหาเลี้ยง เป็นของผู้ชาย (ส่วนนี้แสดงความย้อนแย้งและสัจธรรมชีวิตให้เห็นถึงความเท่าเทียมที่ไม่มีอยู่จริง ในฉากที่อาม่ากลับไปขอเงินจากพี่ชายตัวเอง)สังคมของผู้สูงอายุ แม่มีลูกหลายคนและเลี้ยงลูกมาจนโตได้ แต่ทำไมยามพ่อแม่แก่ชรา ลูกจึงเลี้ยงแค่แม่หรือพ่อคนเดียวไม่ได้ ส่วนนี้ผู้เขียนมองว่า เงิน คือปัจจัยสำคัญ แต่ในหนังก็สื่อให้เห็นอีกบริบทหนึ่งว่าบางทีก็ขึ้นอยู่กับมโนสำนึกของแต่ละคนด้วย ให้รักไปแล้วย่อมต้องมีความคาดหวังตามมา อาม่าเมื่อแก่ตัวและใกล้ถึงวาระสุดท้าย สิ่งหนึ่งที่คาดหวังและอยากได้ก็คือ เวลา จากลูกหลาน แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น โลกวัตถุนิยม สภาพเศรษฐกิจ รวมถึงช่องว่างระหว่างวัยที่ทำให้ต่อไม่ติดกัน เงินทองก็สำคัญ แต่คนในครอบครัวก็สำคัญเช่นกันสำหรับไม้ที่ใกล้ฝั่ง ไม่ได้โตมากับญาติผู้ใหญ่ดูแล้วจะอินไหม?อย่างที่บอกไปว่าหนังเรื่องนี้มันคือหนังครอบครัว เป็นภาพสะท้อนครอบครัวของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา ในวัยที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเคยได้รับการดูแลฟูมฟักจากใครสักคน ทุกคนมีความสัมพันธ์และมีครอบครัว (สิ่งแวดล้อมที่เติบโตมา) เป็นเรื่องเฉพาะของตน ผู้เขียนคิดว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในหนังน่าจะทัชใจหรือหลายคนเคยประสบพบเจอมา ดู "หลานม่า" แล้วได้อะไรได้ตลกผลึกและย้อนมองชีวิตตัวเอง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและวาดหวังถึงอนาคตว่าถ้าเราเข้าสู่วัยชราจะเป็นอย่างไรหลายอย่างตอนเราเป็นเด็กแบบ เอ็ม (ต้องเคยทำอะไรแผลง ๆ หรือแหวกขนบผู้ใหญ่ในยุคนั้น) หรือ วัยกลางคนเราจะเป็นแบบแม่และกู๋ของเอ็มไหม (ที่ปัจจัยหลายอย่างทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวจางลง)และสุดท้ายในวัยชรา ปลายทางของชีวิต ทุกสิ่งที่เราสร้างและลงทุนทุ่มเทมาตลอดชีวิต จะตอบแทนเราอย่างไร หรือสุดท้ายแล้วเราอาจจะต้องปลงตกว่าชีวิตก็แค่นี้ เกิดมาคนเดียวแล้วก็ตายจากโลกนี้ไปคนเดียว ภาพรวมของ "หลานม่า"การกำกับ ทำได้ดี มีความเป็นธรรมชาติสูง รวมทั้งสถานที่และอุปกรณ์ประกอบฉากที่สมจริง เหมือนดูชีวิตคนจริง ๆ ส่วนตัวเรามองว่าการทำหนังครอบครัว เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ความเรียลเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้อินตามยิ่งมาผนวกกับบทภาพยนตร์ที่สะะท้อนคำว่าครอบครัวได้อย่างถึงแก่น ไม่โลกสวยแต่ก็ไม่มืดมิดจนเกินไปและเป็นสัจธรรมชีวิต แล้วยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่หยิบจับมานำเสนอได้อย่างลงตัว กลมกลืน ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรื่องนี้มีหลายอารมณ์มาก ซึ้ง หดหู่ ดีใจ ตลก กำหมัด ส่วนตัวดูแล้วอินมาก ส่วนเรื่องร้องไห้ นี่มองว่าขึ้นอยู่กับประสบการณ์ร่วมของบุคคล ส่วนตัวผู้เขียนมีซึม ๆ ปริ่ม ๆ ในบางฉาก แต่ไม่ถึงขนาดร้องไห้โฮค่ะ ตัวหนังเขาไม่ได้มาแนวดรามาบิวทุกซีนสุด ๆ ขนาดนั้นทีมนักแสดงเรื่องนี้ทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาคือครอบครัวคนจีน ที่อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่จริง ๆ ทำให้ลืมภาพจำของนักแสดงที่เคยมีมา MVP มากกี่สุดในเรื่องแน่นอนต้องเป็น คุณยายแต๋ว ในบท อาม่า แกนหลักของเรื่องที่เชื่อมโยงกับลูกหลาน ส่งท้ายถึง "หลานม่า" และ ทีมผู้สร้างส่วนตัวเป็นแฟนคลับของ GTH และ GDH มาโดยตลอด หนังเรื่องสุดท้ายของค่ายนี้ที่เราดูจบแล้วชอบ จนหยิบมาดูอีกก็คือ "ฉลาดเกมส์โกง" หลังจากนั้นมาที่ค่ายพยายามทำแนวอื่นที่ไม่แมส แต่เป็นหนังทางเลือก เพื่อนำเสนอมุมมองที่แปลกใหม่ไปจากกรอบเดิม ๆ แต่มันก็ยังไม่ทัชใจ เรื่องนี้พอเห็นหนังเข้าโรงและกระแสที่ไปในทางเดียวกัน ก็เริ่มอยากดู บวกกับอยากดูยายแต๋วเดบิวต์ครั้งแรกด้วยและอยากท้าพิสูจน์ว่าตัวเองจะร้องไห้เป็นเตาเผาไหม555หนังเรื่องนี้เลือกหยิบยกเรื่องใกล้ตัว มาถ่ายทอดถือว่าทำได้ดี คืนฟอร์มค่ายมาก ดูเพลิน น่าติดตามทั้งเรื่อง ไม่ได้หวือหวา แต่มีเสน่ห์ชวนดูจริง ๆ ค่ะ ถูกใจสายชอบความเรียบง่ายแนะนำนะคะเรื่องนี้ ดูแล้วคุ้มค่าตั๋ว เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย (อาจมีคำหยาบเล็กน้อย แต่เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกกันเฉพาะคนในครอบครัวค่ะ) สุดท้ายนี้ขอฝากทุกคนรวมทั้งเตือนสติผู้เขียนเองให้ดูแล ใส่ใจ คนในครอบครัวหรือคนที่รักให้ดีในวันที่ยังมีโอกาส จะได้ไม่เสียใจทีหลังในวันที่ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ให้คะแนนภาพรวมหนัง 10/10 คะแนน เครดิตภาพหน้าปกออกแบบใน canvaภาพหน้าประกอบหน้าปก gdh559 : ภาพที่ 1 ภาพประกอบเนื้อหา gdh559 : ภาพที่ 1, 8 และ 9 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / ลิงก์คลิปวิดีโอประกอบเนื้อหา GDH : คลิปที่ 1