อย่างที่หลายๆคนทราบกันนะครับ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเจ้าไวรัสโควิด-19 ที่ได้ทวีความรุนแรงขึ้น รวมไปถึงมาตรการปิดประเทศของหลายๆประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ผู้คนเดินทางระหว่างประเทศน้อยลง สายการบินก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยตรง จึงทำให้หลายๆสายการบินประกาศหยุดบินชั่วคราว สืบเนื่องจากตัวผู้เขียนเองได้มาศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ และหลายๆมหาวิทยาลัยได้มีนโยบายปรับรูปแบบการเรียนการสอนรวมไปถึงการวัดผลเป็นแบบออนไลน์ ผู้เขียนเองก็ตัดสินใจบินด่วนกลับประเทศไทยในช่วงเวลานี้เช่นกัน 8 โมงเช้าของวันเดินทาง ผมได้เดินทางมาถึงสนามบินลอนดอนฮีทโธรว์ บรรยากาศข้างในสนามบินเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ตั้งหน้าตั้งตากันเดินทางกลับสู่แผ่นดินเกิดของตน โดยเฉพาะโซนเช็คอิน A ซึ่งเป็นโซนเช็คอินสำหรับผู้โดยสารของสายการบินไทยรวมไปถึงสายการบินอื่นๆในเครือ Star Alliance และยังได้พบกับแฟชั่นสนามบินอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน บางคนอาจจะสวมแค่หน้ากากอนามัยคู่กับแว่นตาป้องกัน บางคนอาจจะมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมเช่น ชุดกันฝน หรือแม้กระทั่งชุด PPE สำหรับระบบเช็คอินของสนามบินฮีทโธรว์จะเป็นแบบ self- service ทั้งหมดครับ (เฉพาะผู้โดยสารชั้นประหยัด) โดยที่ผู้โดยสารจะต้องทำการเช็คอินด้วยตนเองที่ kiosk พร้อมพิมพ์บัตรโดยสารและ luggage tag ก่อนที่จะนำสัมภาระไปโหลดที่เคาน์เตอร์อีกทีครับ สำหรับเที่ยวบินวันนี้ ผู้เขียนไม่ต้องใช้เอกสารตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (ใบรับรองแพทย์และหรังสือรับรองจากสถานฑูตไทย) เพื่อเช็คอินครับ (ผู้เขียนออกเดินทางช่วงเย็นของวันที่ 20 มีนาคม ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ครับ) แต่ผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยหลังเที่ยงคืนของวันที่ 22 มีนาคม (ตามเวลาประเทศไทย) ผู้โดยสารจะต้องแสดงเอกสารดังกล่าวเพื่อที่จะทำการเช็คอินครับ (ประกาศ กพท.) บรรยากาศภายในสนามบินฮีทโธรว์จากที่เคยเป็นสนามบินที่คึกคักและเต็มไปด้วยผู้โดยสาร วันนี้ก็จะค่อนข้างเงียบเหงาหน่อยครับ ร้านค้าบางส่วนก็ปิดทำการ โดยปกติแล้ว เที่ยวบินของการบินไทยที่ทำการบินในเส้นทางยุโรปมักจะมีผู้โดยสาร(เกือบ)เต็มลำเสมอ ก่อนที่ผมจะขึ้นเครื่อง ผมเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน ที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่เที่ยวบินที่ผมจะเดินทางมีผู้โดยสารเต็มลำ แต่หลังจากที่ผมได้ก้าวเข้ามาในเครื่องบินนั้น ผมเองก็ทราบมาว่ามีผู้โดยสารที่เดินทางจริงๆน้อยกว่าจำนวนที่จองมา(สาเหตุเกิดจากปัญหาทางด้านของเอกสาร) และนอกจากนี้ ยังมีผู้โดยสารส่วนหนึ่งที่จะต่อเครื่องเพื่อเดินทางไปยังเส้นทางบินในประเทศจีน สำหรับประตูขึ้นเครื่องวันนี้อยู่ที่ B44 ครับ ซึ่งตั้งอยู่ที่ Terminal 2B (satellite terminal) โดยผู้โดยสารจะต้องเดินเท้าผ่านอุโมงค์ใต้ดินจากอาคาร Terminal 2A ไปอีกทีนึงครับ ในขณะที่ผมก้าวเท้าเข้าสู่ตัวเครื่องบิน ภาพที่ผมเห็นไม่ได้เป็นภาพพนักงานต้อนรับในชุดไทยเรือนต้นกำลังต้อนรับผู้โดยสาร แต่เป็นพนักงานต้อนรับที่สวมชุดเครื่องแบบปกติ พร้อมด้วยหน้ากากอนามัยและถุงมือ กำลังต้อนรับผู้โดยสารอย่างขะมักเขม้น (เนื่องจากการบินไทยได้ออกมาตรการให้พนักงานต้อนรับหญิงงดสวมชุดไทยเรือนต้นออกให้บริการผู้โดยสารชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรค) Flight TG911 Route: LHR-BKK Duration: 10 hours 25 minutes Seat: 48G (Economy) Aircraft: A380-800 Registration: HS-TUA (ศรีรัตนะ) เวลาประมาณเที่ยงเศษ เจ้าวาฬยักษ์ได้ทะยานขึ้นไปยังท้องฟ้า พร้อมที่จะพาผู้โดยสารหลายร้อยชีวิตกลับบ้าน หลักจากที่เครื่องบินได้วิ่งขึ้นและวางระดับแล้ว มื้อแรกของเที่ยวบินนี้ซึ่งเป็นมื้อกลางวัน (ตามเวลาประเทศอังกฤษ) ได้ถูกเสิร์ฟครับ สำหรับมื้อนี้ผู้เขียนก็เลือกเป็นข้าวกระเพราไก่เสิร์ฟพร้อมไข่ดาวครับ หลักจากที่เสร็จสิ้นการบริการมื้อกลางวันแล้ว ภายในห้องโดยสารจะถูกหรี่ไฟเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อน ตลอดเส้นทางบินกว่า 10 ชั่วโมงที่เจ้าวาฬยักษ์พาผมจากเมืองลอนดอน การบริการในเที่ยวบินก็แทบไม่ต่างจากเที่ยวบินในยามปกติ ลูกเรือทุกคนก็บริการอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส และในระหว่างเที่ยวบินนี้ ใครที่รู้สึกหิวสามารถแวะเข้ามาหยิบขนมเล็กๆน้อยๆได้ในบริเวณ galley (ห้องครัวภายในเครื่องบิน) ครับ เมื่อบินได้ถึงเวลาประมาณ 4 นาฬิกา (ตามเวลาประเทศไทย) เครื่องบินกำลังบินเข้ามาสู่น่านฟ้าประเทศไทย ไฟในห้องโดยสารค่อยๆสว่างขึ้น พนักงานเริ่มทำการเสิร์ฟอาหารเช้าให้กับผู้โดยสาร เมนูของเช้าวันนี้มีซูเฟลไข่กับไส้กรอก เสิร์ฟพร้อมครัวซองต์ร้อนๆ โยเกิร์ต ผลไม้รวม และน้ำส้มครับ (ผู้เขียนไม่ได้ถ่ายภาพอาหารเช้า จึงขออภัยคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยครับ) และเวลาประมาณตีห้าเศษของวันที่ 21 มีนาคม เจ้าวาฬยักษ์ได้แตะพื้นลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิ อันเป็นสัญญาณว่าผมได้เดินมาถึงแผ่นดินเกิดโดยสวัสดิภาพ เป็นอันสิ้นสุดของบริการเอื้องหลวงในเที่ยวบินนี้แล้วครับ หลังจากที่เครื่องเข้าเทียบจอดและผู้โดยสารออกจากตัวเครื่องบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารก็ต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและพิธีการศุลกากรตามปกติ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมานั้นก็คือผู้โดยสารทุกคนต้องผ่านจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกาย และกรอกเอกสารคัดกรอง (แบบ ต.8) ซึ่งผู้โดยสารสามารถกรอกผ่านแอพพลิเคชั่น AOT Airports หรือสามารถไปขอแบบกระดาษได้ที่ด่านควบคุมโรคในสนามบินครับ หลังจากนี้ ตัวผู้เขียนเองก็ต้องกักตัวที่บ้านเพื่ออยู่ดูอาการอีก 14 วันครับ (หลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยจะต้องได้รับการกักตัวในสถานที่ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้ครับ) สุดท้ายนี้ ผู้เขียนเองก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน เพื่อที่จะก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันครับ //ภาพโดยผู้เขียน//