Series Full ReviewTomorrow: พรุ่งนี้ หัวเราะร่าน้ำตาริน กับการก้าวข้ามรอยแผลเพื่อมองเห็นคุณค่าแห่งชีวิต และความสวยงามของการมีชีวิตNETFLIX: 1 Season 16 Episodes (2022)อาจเพราะมนุษย์ต้องใช้ชีวิตโดยมิอาจดำรงอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวจึงต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ทั้งการต้องพบเจอกับเพื่อนร่วมงานพนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือแม่ค้าขายกับข้าวข้างทางจึงอาจบอกได้ว่าแม้โดดเดี่ยวก็ใช่ว่าตัวคนเดียว และทุกการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากมายที่แม้จะไม่รูจักนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่าสังคม มนุษย์ก็คือส่วนหนึ่งของสังคมที่ต้องพบเจออะไรมากมายในแต่ละวันที่อาจไม่เคยง่ายในการใช้ชีวิตของบางคน สิ่งที่ตามมาก็คือสังคมได้กำหนดมิติทางความคิดที่ฝังเข้าไปในส่วนลึกของบางคนทีละน้อย เมื่อการอยู่ในสังคมไม่มีทางที่จะเจอเรื่องสวยงามเสมอไปแถมบางครั้งยังเจอแต่เรื่องโหดร้ายที่กัดกร่อน สิ่งที่ตามมาคือปัญหาชีวิตที่จะกลายมาเป็นปัญหาสังคมทั้งเรื่องของตัวบุคคลหรือเรื่องทางโครงสร้างก็ต่างมีจุดเริ่มต้นเดียวกันและเมื่อปัญหาย้อนมากระทบกับสังคมสิ่งที่ต้องทำนอกจากการแก้ไขที่ปลายเหตุก็คือการย้อนกลับไปสู่ปฐมเหตุ เพื่อฝังเมล็ดพันธุ์ทางความคิดในการมองปัญหาชีวิตว่าในชีวิตทุกคนย่อมต้องเจอกับความหนักเบาดีร้าย แต่การจัดการกับความคิดที่ต่างกันจะทำให้คนสามารถรับมือกับความคิดของตัวเองต่างกัน และทางเลือกหนึ่งที่จะฝังเมล็ดพันธุ์นั้นลงในความคิดมนุษย์ที่เข้าถึงง่ายก็คือสื่อบันเทิง และถ้าให้เจาะจงลงไปก็คือหนังหรือละครจึงกลายมาเป็นละครสะท้อนสังคมที่ได้เห็นกัน แต่จะสะท้อนเรื่องไหนก็สุดแท้แต่จะหยิบปัญหาทางสังคมเรื่องใดมาบอกเล่า แน่นอนว่าปัญหาที่ว่านั้นคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างละครเรื่องนี้ที่เล่าถึงปัญหาการฆ่าตัวตายที่คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมองข้าม และการบอกเล่าครั้งนี้ก็ดีพอที่จะฝังเมล็ดพันธุ์ทางความคิดไว้กับคนดู แต่เมล็ดนั้นจะงอกงามหรือไม่ก็อาจอยู่ที่คนดูเช่นกัน Tomorrowเรื่องย่อชเวจุนอุง (โรอุน) ชายหนุ่มจิตใจดีที่กำลังก้มหน้าหาหางานทำ แต่ชีวิตก็ไม่ง่ายเพราะในสังคมมีทั้งระบบเส้นสายหรือระบบใดๆที่กีดกันคนบางคนออกจากระบบ มันจึงเป็นการยากสำหรับเขาที่จะได้รับการจ้างงานและชเวจุนอุงก็ก้มหน้ารับมันเสมอมา คืนหนึ่งความจิตใจดีของเขาได้ทำให้เขาสอดมือเข้าไปช่วยคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย แต่แล้วเขาก็บังเอิญได้พบกับบุคคลปริศนาที่น่าสยดสยองคูรยอน (คิมฮีซอน) และอิมรยองกู (ยุนจีออน) แต่โชคชะตามักไม่เข้าข้างคนดีการพยายามช่วยเหลือคนอื่นของชเวจุนอุงทำให้เขาพลัดตกลงไปในแม่น้ำฮัน และเขาอยู่ในอาการโคม่าไม่ฟื้นขึ้นมาในฐานะมนุษย์แต่ฟื้นขึ้นมาในฐานะวิญญาณครึ่งเป็นครึ่งตาย เพื่อพบว่าบุคคลปริศนาที่เขาได้เจอก่อนหน้านั้นคือยมทูตสองคนที่อยู่ในทีมจัดการวิกฤตของปรโลกโดยที่คูรยอนเป็นหัวหน้าทีมและอิมรยองกูเป็นผู้ช่วยวัตถุประสงค์ของพวกเขาคือการช่วยเหลือคนที่จะฆ่าตัวตายและจะด้วยเหตุผลใดชเวจุนอุงก็ได้รับข้อเสนอ ให้มาทำงานเป็นสมาชิกใหม่ของทีมจัดการวิกฤตเป็นการชั่วคราวก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาในฐานะมนุษย์ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ของชเวจุนอุงการต้องช่วยเหลือคนที่พลังงานบวกในใจลดน้อยลงจนแทบสิ้นและคิดสั้นฆ่าตัวตาย จึงเป็นเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจทำให้การปรับตัวกลายเป็นเรื่องพิสูจน์จิตใจ เพราะบางวิธีของทีมก็ดูเหมือนรุนแรงไร้หัวใจแต่ข้างในกลับมีจุดหมาย เพื่อให้คนที่กำลังไร้จุดหมายในการมีชีวิตกลับมามีจุดหมายอีกครั้ง แล้วชเวจุนอุงก็ได้เรียนรู้ผ่านการทำงานในทีมที่ความต่างของเขาจะช่วยลดทอนความแรงของหัวหน้าทีมคูรยอนได้หรือไม่ การช่วยให้คนกลับมามองเห็นความสวยงามของการอยากมีชีวิตอยู่จะเปลี่ยนชีวิตใคร เมื่ออดีตยังเป็นตัวกำหนดหัวใจแม้กระทั่งยมทูตเอง เหมือนหยิบนู่นนี่นั่นมาผสมกันทำให้เหมือนไม่ใหม่ แต่มิติข้างในที่จับใจทำให้ดูเป็นความใหม่ในความเก่าถึงไม่แรงจัดทุกเรื่องย่อยแต่ก็ไม่น้อยจนน่าเบื่อ ถ้ามองให้ดีบทละครของเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเหมือนกับการหยิบจับเอาเรื่องที่เคยๆมายำเข้าด้วยกัน เพียงแต่แก่นสารมันได้เลยทำให้บางครั้งอารมณ์พาหัวใจไปเลยไม่ทันสังเกต แต่ถ้าจะแกะก็ต้องบอกว่าโครงสร้างหลักเหมือนกับซีรีส์ทีมตำรวจสืบสวนที่มีตำรวจน้องใหม่อ่อนประสบการณ์มาร่วมทีม แล้วได้เรียนรู้และยืดหยุ่นเข้าหากันของทีมแต่คราวนี้บิดไปเป็นเรื่องทีมยมทูต แล้วใส่สาระสงไปอย่างชัดเจนในการบอกกับสังคมให้หันกลับมามองปัญหาที่เหมือนเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างการฆ่าตัวตายว่า ปัญหาที่คนส่วนมากในสังคมคิดว่ามันคือการตัดสินใจส่วนตัวของผู้ตายที่สื่อผ่านตัวละครยมทูตพัคจุงกิล (อีซูฮยอก) แล้วใช้เหตุการณ์ย่อยๆเหมือนการสืบสะสางคดีเพื่อช่วยเหลือคนที่คิดสั้นสะท้อนให้เห็นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กและมันมาจากจุดเริ่มต้นทางบริบททางสังคมเองและเมื่อเล่นกันเรื่องของความตาย บาปของการฆ่าตัวตาย และการเดินทางไปสู่โลกหน้าอย่างหมดห่วง ผ่านเรื่องของการบีบรัดของสังคมในหลากหลายแง่มุมทำให้ทีมจัดการวิกฤตได้ส่งผ่านมิตินั้นๆสู่หัวใจคนดู สัมผัสของเรื่องย่อยๆจึงเหมือนกับการหยิบเอา The Uncanny Counter มาผสมกับ Move To Heaven ในเรื่องของอารมณ์ ซึ่งเมื่อมันมีหลายเรื่องราวแน่นอนว่าไม่มีทางที่จะแรงจัดได้ทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยไม่มีเรื่องไหนที่เบาบางหรือหย่อนลงจนน่าเบื่อ นั่นคือทุกเรื่องจัดการอารมณ์คนดูได้แต่จะมากจะน้อยก็สุดแท้แต่ตัวตนของคนดู เช่นเรื่องของคนรักหมาหรือความรุนแรงในโรงเรียนที่ประสบการณ์ชีวิตคนดูจะมีส่วนร่วมในอารมณ์ จนทำให้ไม่รู้สึกว่าบีบคั้นทั้งที่ความจริงมันชัดมากด้านความจงใจ หรือจะเป็นมุมของการเชิดชูให้เกียร์ติและเยียวยาผู้เสียสละอย่างเรื่องทหารผ่านศึกและหญิงบำเรอชาวเกาหลีที่ไม่ควรถูกลืมวีรกรรมและบาดแผลแห่งประวัติศาสตร์ เรืองเหล่านี้ถูกเล่าด้วยความหมายใหม่ที่ดูแปลกไปคือการไม่เล่าให้เห็นเรื่องของผลแต่ย้อนไปจัดการที่เหตุ นั่นคือไม่ได้บอกกับคนดูว่าผลของการที่คนหนึ่งคนตัดสินใจฆ่าตัวตายจะมีอะไรตามมาเหมือนทั่วไป แต่กับย้อนไปที่เหตุของการตัดสินใจจบชีวิตตนเองว่าเพราะอะไรพลังงานในการอยากมีชีวิตจึงต่ำลงถึงขั้นวิกฤต เจาะลงไปในปัญหาทั้งระดับตัวบุคคลและระดับโครงสร้างเพื่อชี้ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เข้ามามีมุมที่มองไม่เห็น และการก้าวผ่านเรื่องราวที่กัดกินพลังชีวิตเพื่อไปเห็นอีกมุมนั่นคือการเห็นคุณค่าของการมีชีวิตและการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าในการได้เกิดมาบนโลกใบนี้ และมันกระตุกความคิดคนดูให้รู้ว่าชีวิตมีคุณค่าแค่ไหน สังคมที่แก่งแย่งนี้ได้สร้างรอยแผลอะไรไว้ และพวกเราคือส่วนหนึ่งในการสร้างปัจจัยที่บีบคั้นเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อที่อาจมีบ้างบางครั้งมันย้อนกลับมาบีบตัวเราเองหรือไม่ อีกสิ่งคือการเล่าเรื่องออกมาในฉากหน้าขบขันแต่เบื้องหลังคมคายในทุกเรื่องเล่า การซ่อนปริศนาตัวละครทั้งเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวและความสัมพันธ์ในทีมที่สร้างความสงสัยที่จะพาความน่าติดตามไปจนสุดทางนอกจากสิ่งเร้าย่อยๆที่ถูกใส่เข้ามา เพราะคนดูอยากรู้ว่าทำไมชเวจุนอุงถึงถูกเลือก คูรยอนมีอะไรเกี่ยวกับพัคจุงกิล และอิมรยองกูทำไมต้องเลิกงานตรงเวลา ทำให้เรื่องออกมามีสีสันฉูดฉาดไม่ต่างจากการแต่งตัวของคูรยอน นั่นคือมีอารมณ์ขันที่จัดจ้านตั้งอยู่บนความบีบคั้นทางอารมณ์ คือการดูเรื่องนี้มีทั้งเบาทั้งหนักปนเปกันไปแต่ไม่รู้สึกเป็นส่วนเกินต่อกัน ที่สำคัญแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าจงใจบีบคั้นเพราะการเล่าเรื่องซอยย่อยเพื่อบรรจบกันมันชัดอยู่แล้วเรื่องความต้องการทางอารมณ์ แต่ทั้งหมดกลับไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดเพราะความรู้สึกที่ได้รับได้จัดการอารมณ์คนดูให้มองข้ามไปได้อย่างเนียนๆทำให้แม้จะเหมือนหยิบอะไรที่เก่าซ้ำมาเล่นแต่กลับดูใหม่อยู่ในทีการแสดงที่จัดการความหลากหลายได้อย่างลงตัวเพราะบทเล่าด้วยเรื่องย่อยมาเป็นสิ่งเร้าหลักแต่วางมิติตัวละครเป็นแก่นอยู่เบื้องหลัง เรื่องจึงออกมาหวือหวามากด้วยมิติเชิงอารมณ์แต่นักแสดงทุกคนก็จัดการได้ ซึ่งสำหรับคิมฮีซอนนั้นแม้ผู้เขียนจะไม่สงสัยในมาตรฐานการแดงของเธอมานานมากแล้ว แต่การทำหน้าชืดชาต่อโลกแต่ในใจอ่อนไหวเพราะติดค้างใครบางคนนั้นนับว่าดีที่สุดในการแสดงสีหน้าที่ซ่อนแววตาไม่ได้ ทุกสิ่งที่พึงมีในตัวละครนี้คิมฮีซอนจัดการได้แน่นอนและคงไม่ยากสำหรับเธอ ติดอยู่อย่างเดียวคือด้วยวัยสี่สิบห้าปีและต้องมารับบทยมทูตผู้มีปมในใจเรื่องความรักแบบนี้ การเคร่งและตึงตลอดเวลาทำให้ปิดเร้นริ้วรอยตามกาลเวลาได้ไม่สนิท ทำให้เมื่อถึงเวลาเฉลยออกมาในเรื่องของอดีตชาติที่ส่งผลต่อความรู้สึกในปัจจุบันและการคู่กันดูไม่เนียนตาเพราะเหมือนดูพี่สาวกับน้องชายหรือบางครั้งกลายเป็นน้ากับหลาน แต่รวมๆแล้วคิมฮีซอนก็ยังเป็นคิมฮีซอนที่ยังคงเปี่ยมเสน่ห์และพลังดาราอีกคนที่เฉิดฉายตีคู่ขึ้นมาอย่างดูดีคือโรอุนในบทยมทูตพาร์ตไทม์น้องเล็กของทีม เพราะอารมณ์หลักตั้งอยู่ที่มิติของตัวละครคูรยอนที่อดีตชาติต้องเจอกับเรื่องร้ายแรงที่แม้เป็นปริศนาแต่ก็สัมผัสได้ หรือจะนับรวมตัวละครอิมรยองกูเข้าไปด้วยก็ยังได้ทำให้ทีมจัดการวิกฤติดูเคร่งจนตึงเกินไปจึงต้องมีตัวละครที่มาผ่อนคลายอย่างน้องใหม่ที่อ่อนประสบการณ์ทั้งการทำงานและความชืดชา และโรอุนคือคนที่จัดการอารมณ์นี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จจนน่าทึ่ง เพราะการจัดการมิติตัวละครที่ยังมีหัวใจแต่ต้องอยู่กับคนไร้หัวใจเพื่อค้นพบว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้ไร้หัวใจแต่การรับมือเรื่องของหัวใจต่างกัน ตัวละครของโรอุนจึงเป็นมิติที่จำเป็นของเรื่องให้เรื่องไม่หนักเกินไปและไม่เบาบางจนกลายเป็นรั่วเรื้อน จึงไม่ต่างจากโรอุนคือพระเอกเพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้เล่าเรื่องของพระเอกนางเอกอย่างที่คุ้นชินเลยกลายเป็นหนึ่งตึงหนึ่งผ่อนคลายทำให้เรื่องดูลงตัวส่วนอีกสองคนที่เป็นแกนหลักของเรื่องก็ยังคงได้ตามมาตรฐานแม้ว่าในส่วนของอีซูฮยอกเห็นชัดว่าตั้งใจมาขายเสน่ห์ทางบุคลิกหน้าตาเสื้อผ้าที่เน้นความเท่ แต่ตัวละครเป็นตัวละครหน้าเดียวที่แม้จะมีบางอย่างอยู่ในในแต่จุดหมายและทัศนคติชัดเจน เห็นชัดว่าชืดชาต่อการคงอยู่เพราะผ่านอะไรมากมากจากการส่งวิญญาณผู้วายชนม์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการแสดงของอีซูฮยอกจะเป็นส่วนกินหรือแสดงไม่ดี กลับกันคือการแสดงที่เสริมมิติของทีมจัดการวิกฤตในเชิงหักล้างกันให้คนดูได้พิจารณาสิ่งที่บทต้องการจะสื่อในแต่ละเรื่องปลีกย่อย ส่วนอีกคนที่ยังทำได้ดีเช่นกันคือยูจีออนที่คล้ายอีซูฮยอกในเรื่องมิติตัวละครแต่อยู่อีกด้าน การแสดงอาจไม่ถึงกับเด่นจนเกินหน้าแต่เมื่อถึงเวลาก็มีนาทีทองและมีตอนเป็นของตนเองให้ประทับใจ ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นทั้งยูจีออนและอีซูฮยอกเพราะเมื่อถึงเวลาของตัวเองก็จัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จเช่นเดิมที่เมื่อบทละครเล่าเรื่องย่อยๆเพื่อกระตุ้นหัวใจนักแสดงที่มารับบทในแต่ละเรื่องต้องมีมามากมาย และนี่คือละครเกาหลีที่มาตรฐานการแสดงของนักแสดงเชื่อขนมกินได้ในระยะหลัง เพราะบทที่ต้องการหัวใจและอารมณ์แบบนี้ต้องถ่ายทอดให้ได้เล่นให้ดี ทำให้คนดูรู้สึกได้สัมผัสได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องเจอทั้งหมดใจซึ่งถ้าไม่ได้คนดูจะไม่รู้สึกไปด้วยแล้วเรื่องจะไม่มีพลังมากพอ แต่กับนักแสดงสมทบใหญ่น้อยของละครเกาหลี (ไม่ใช่แค่เรื่องนี้) ได้ถ่ายทอดมิติที่พึงมีในแต่ละเรื่องเล่าได้อย่างไร้ที่ติ ซึ่งมันทำให้เรื่องมีพลังต่อเนื่องกันทั้งที่การเล่าเป็นเรื่องย่อยที่ไม่เกี่ยวกันแบบนี้ง่ายมากที่อารมณ์คนดูจะขาดช่วงและหลุดไปจนไปไม่สุดทาง แต่เรื่องนี้กลับไปได้เพราะนักแสดงสมทบพาเรื่องไปได้และส่งเสริมมิติที่ต้องการให้เห็นในตัวละครหลักได้อย่างดี เพราะแม้กระทั่งหมายังแสดงได้อย่างสมจริงหัวเราะร่าน้ำตารินคือสิ่งที่เรื่องนี้เป็น เพราะการเล่าเรื่องชีวิตของหลากบุคคลหลายเรื่องราวมากบทเรียนชีวิต หนักบ้างเบาบ้างมันก็คือชีวิตที่สามารถเกิดขึ้นกับใครสักคนทั้งที่เคยเจอมาหรือกำลังจะเจอและอาจต้องเจอในอนาคต ซึ่งมันก็คือหลากหลายอารมณ์ที่จะมาสัมผัสกับความรู้สึกคนดูผ่านประสบการณ์ชีวิตของใครของมัน ที่สำคัญการวางตัวให้เป็นความเบาบนความหนักก็ยังลงตัวเพราะแม้จะเล่าเรื่องที่หนักจนหน่วงอย่างการฆ่าตัวตายหรือการที่คนไร้สิ้นพลังในการมีชีวิตแม้จะเหลือเวลาชีวิตอีกเพียงวันเดียว แต่เรื่องก็เล่าผ่านการฉาบทาด้านหน้าด้วยสีโทนสวยงามปานนั่งจิบชาดูพระอาทิตย์ตกได้ และยังใส่อารมณ์ขันที่พอดีลงตัวมาถูกจังหวะและสถานการณ์มาให้ทำให้ในม่านของน้ำตามีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่ในนั้น กระนั้นเรื่องที่เล่าก็ถือว่าหนักหนาเอาการเพราะบางเรื่องก็ขีดเส้นความรักความชังไว้อย่างชัด ทำให้คนดูรู้สึกขึ้งโกรธจนไปถึงเกลียดผู้ที่กระทำกับคนอื่น ก็ใช่ที่บทพยายามบอกคนดูว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองและเป็นผลผลิตจากจากรากและกิ่งก้านของสังคมที่ทุกคนต่างช่วยกันบ่มเพาะมาโดยไม่ตั้งใจ แต่การแบ่งขาวดำชัดเจนก็ทำให้หัวใจคนดูเลือกข้างและสาสมใจเมื่อคนที่ทำร้ายคนอื่นต้องเจอเอาคืนแบบที่เห็น จนกระทั่งมองข้ามสิ่งที่เรื่องต้องการจะสื่อไปในเรื่องของรากฐานของปัญหาทั้งภาพเล็กและภาพรวม แต่ผลดีจากการเล่นแบบนี้คือได้ใจคนดูเพราะสะใจ แต่เมื่อถึงเรื่องสุดท้ายที่จะพาไปสู่บทสรุปกลับกลายเป็นหาทางออกง่ายเกินไปในเรื่องที่เป็นรากฐานของหัวใจ อาจเพราะเหลือเวลาน้อยไปเพราะปมของเรืองอดีตของคูรยอนก็ต้องเคลียร์ให้ได้ เรื่องสุดท้ายเลยกลายเป็นหาทางลงง่ายๆแต่อย่างน้อยเรื่องที่เป็นปริศนามาตลอดก็คลี่คลายลงตัวแม้ว่าจะไม่ได้ยากต่อการคาดเดาดูไปบ่นไปNETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Facebook MBC 드라마ภาพที่ 9 / ภาพที 10 จาก Facebook Netflix จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !