Series Review3 Body Problem ดาวซานถี่ อุบัติการณ์สงครามล้างโลก (2024)เดินหน้าด้วยความสงสัยไปอย่างแข็งขันแน่นหนาเต็มไปด้วยรายละเอียดละเมียดเล่า อาจเหมือนเครื่องร้อนช้าแต่เมื่อถึงเวลาก็หยุดไม่ได้นวนิยายถือว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดีของการสร้างหนังหรือซีรีส์เพราะถ้าเป็นนิยายขายดีย่อมต้องมีฐานคนอ่านที่มากพอที่จะกลายมาเป็นคนดู กระนั้นคนดูกลุ่มนั้นจะมีความละเอียดในการดูมากกว่าคนที่ไม่ใช่แฟนนิยายบ่อยครั้งเราจึงได้เห็นการดัดแปลงจากจินตนาการจากตัวอักษรมาเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ไม่เข้าท่าสำหรับแฟนนิยาย เช่นกันผู้เขียนที่เคยเป็นหนอนหนังสือที่ปัจจุบันไม่ค่อยได้อ่านแล้วและหนังสือที่ชื่นชอบคือยุทธจักรนิยาย แล้วเมื่อใดก็ตามที่มีการหยิบเอาบทประพันธ์ชั้นเยี่ยมมาดัดแปลงแบบไม่เข้าท่าก็จะกลายเป็นว่าขัดใจ ที่ผู้เขียนจะสื่อคือมีนวนิยายไซไฟจากนักเขียนชาวจีนหลิวซือเฉินที่ชื่อว่า "ดาวซานถี่ อุบัติการณ์สงครามล้างโลก" ที่คงขายดีแหละถึงได้มีการสร้างเป็นซีรีส์จีนมาก่อนที่ผู้เขียนได้ผ่านตามานิดหน่อย ความน่าสนใจคือการถูกสร้างเป็นซีรีส์ Original ของ NETFLIX หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเวอร์ชันตะวันตกจากนิยายภาษาจีนโดยปรับบริบทให้กว้างขึ้นหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะผู้เขียนก็ไม่ได้อ่านนิยาย แน่นอนงานไซไฟวิทยาศาสตร์จ๋าๆแบบนี้มันช่างท้าทายสมองชวนให้ลิ้มลองเสียนี่กระไรเรื่องวุ่นวายเริ่มขึ้นเมื่อมีนักวิทยาศาสตร์ตายอย่างเป็นปริศนาติดๆกันหลายคนที่เจ้าหน้าที่ Clarence Shi (Benedict Wong) ตามสืบอยู่ หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่ท้าทายทฤษฎีทางฟิสิกส์ในโครงการเครื่องเร่งอนุภาคที่อธิบายไม่ได้ก็สร้างความฉงนให้กับ Saul Durand (Jovan Adepo) และหลังจากนั้นอาจารย์ของเขาก็ฆ่าตัวตาย ด้าน Auggie Salazar (Eiza González) ก็เห็นภาพของตัวเลขนาฬิกานับถอยหลังที่ไม่มีใครเห็นโดยเงื่อนไขที่จะทำให้มันหายไปเธอจะต้องหยุดโครงการวิจัยนวัตกรรมที่ทำอยู่ แล้วหลังจากกงานศพของอาจารย์ที่ฆ่าตัวตาย Jin Cheng (Jess Hong) ก็ได้รับหมวกเล่นเกมประหลาดจาก Dr.Ye Wenjie (Rosalind Chao) แม่ของผู้ตายที่เห็นชัดว่าสนิทกับลูกศิษย์ของลูก แน่นอนทั้งสามคนคือนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าที่เป็นเพื่อนกันแล้วเมื่อ Jin Cheng สวมหมวกก็เหมือนได้เล่นเกมเสมือนจริงที่เธอต้องใช้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์แก้ปัญหา แล้วทั้งสามคนกับเหตุการณ์ประหลาดทางดวงดาวที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกันอย่างไรเมื่อจุดเริ่มต้นอาจอยู่ที่การส่งสัญญาณจากโลกไปสู่ห้วงอวกาศเดินหน้าอย่างมั่นคงแน่นหนาด้วยความสงสัยแล้วค่อยๆพัฒนาเรื่องราวให้เป็นความเข้มข้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ ออกตัวก่อนว่าผู้เขียนไม่ได้อ่านนิยายไซไฟเรื่องนี้มาก่อนไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของเรื่องนี้จนเมื่อจะเขียนบทความนี้จึงไปหาข้อมูลมา ซึ่งก็พบว่ามีการสร้างเป็นซีรีส์จีนมาก่อนหน้านี้ที่คงไม่ไปใส่ใจนักเพราะแค่ดูผ่านๆว่าเค้าโครงคล้ายกันหรือไม่ แต่ด้วยความที่นี่คือนิยายสามเล่มจบเลยอาจเล่าเรื่องเป็นสามส่วนโดยที่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คือจุดเริ่มต้นหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ แล้วเมื่อการเล่าเรื่องถูกเล่าโดยผู้สร้างตะวันตกที่จะเล่าเรื่องแบบตะวันตกหรือเอาให้เจาะจงลงไปจะดูมีคามเป็นการเล่าเรื่องแบบยุโรปมากกว่าทางอเมริกาด้วยซ้ำ นั่นคือตั้งเป้าหมายให้ชัดแล้วเดินไปอย่างเคร่งครัดมั่นคงและเรื่องนี้ก็คือความสงสัยใคร่รู้เพราะเรื่องของผู้รุกรานและมนุษย์ต่างดาวมันต้องลึกลับแบบนี้ ซึ่งก็ทำได้ดีเมื่อแยกเล่าเป็นเรื่องของตัวละครต่างกันไปโดยที่มีสถานการณ์ที่ต่างกันแต่มีจุดร่วมเดียวกันที่ความสงสัยจะมาว่าอะไรเป็นอะไร แล้วค่อยๆปะติดปะต่อให้เรื่องเชื่อมกันได้ทำให้ความเข้มข้นเร้าใจค่อยๆสูงขึ้นตามจำนวนตอนเก่งมากที่เล่าเรื่องที่ไม่ควรเข้าใจให้เข้าใจง่ายและฉลาดที่อธิบายความไม่น่าสมเหตุสมผลได้อย่างสมเหตุผล ส่วนที่คนดูจะวิตกทุกครั้งในงานไซไฟที่เน้นเรื่องทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แบบนี้คือมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจทำให้อาจดูไม่รู้เรื่อง แต่กับเรื่องนี้ข้อดีคือการเสนอทฤษฎีต่างๆดูเข้าใจง่ายโดยที่ไม่ต้องไปสนสี่สนแปดใดๆเพราะนี่คือเรื่องไซไฟที่จินตนาการล้ำอยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือความสมเหตุสมผลที่พยายามยกเหตุผลมารองรับทฤษฎีหลุดโลกต่างๆก็สามารถรับได้โดยที่ไม่มีข้อกังขาใดๆส่วนหนึ่งอาจเพราะตอนต้นได้ถูกเล่าให้สงสัยออกมาเป็นความสยองนิดๆและชี้นำไปในทางวิทยาศาสตร์ที่พาดทับกับความศรัทธา แน่นอนเมื่อเป็นเรื่องของผู้รุกรานจากต่างดาวที่สมองคนดูจะรู้สึกว่ามันคือเรื่องจินตนาการเต็มประดาก็ทำให้เกิดอาการปล่อยวางไม่เอาทฤษฎีในความเป็นจริงมาพาดทับ หรือถ้าคนที่ไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์แบบในเรื่องเลยก็จะยิ่งเพลินเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเอาที่บทหนังอธิบายมาก็ถือว่าโอเคแล้ว ซึ่งมันคือเหตุผลที่เรื่องเดินหน้าไปอย่างมั่นคงตรงประเด็นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่เริ่มต้นดีที่ถ้าเข้าใจนี่ก็คืองานชิ้นละเมียดที่ทุกอย่างมีผลต่อเรื่องราวไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อย เพราะนี่คือการสร้างจากนิยายเรื่องยาวที่ก็อาจไม่ยาวมากเลยคิดว่ามันมีจุดเริ่มต้นและมีปลายทางโดยที่ซีซันนี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอีกไกล ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องสามารถสะกดคนดูที่เข้าใจในความเป็นเรื่องนี่คือการละเมียดเล่าด้วยรายละเอียดที่จับมาเชื่อมโยงกันได้หมดชนิดที่หากละเลยแม้เพียงนาทีอาจต้องย้อนกลับไปดูใหม่ซึ่งเป็นดาบสองคม แต่ถ้าจับรายละเอียดได้หมดจะเป็นความบันเทิงที่คุกรุ่นอยู่ขางในตลอดโดยมีจุดพีคสุดที่ตอนที่ห้าที่เริ่มท้าทายมโนสำนึกแล้วว่าใครร้ายที่สุดซึ่งก่อนจะมาถึงจุดนั้นชิ้นส่วนเล็กน้อยที่ถูกเก็บไว้ก็ได้ต่อกันเป็นที่เรียบร้อยว่าอะไรเป็นอะไรทำไมเรื่องจึงเดินมาถึงจุดนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละครที่ทุกคนมีส่วนกับเรื่องที่เกิดขึ้นต่อให้ดูเหมือนแปลกแยกไปแต่สุดท้ายก็จะมามีส่วนสำคัญ ทำให้เมื่อถึงเวลาก็สามารถจับใจได้และทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรเมื่อช่วงเวลาที่ต้องรอการรุกรานก็ยาวนานขนาดนั้นการแสดงที่ต้องชื่นชมเพราะนอกจากเรื่องทางวิทยาศาสตร์ยังมีเรื่องของมิตรภาพและหัวใจที่นักแสดงทั้งหลายจัดการได้หมด สิ่งสำคัญที่สามารถทำให้อธิบายเรื่องที่ไม่ควรเข้าใจให้เข้าใจได้ก็คือความน่าเชื่อถือของตัวละครในฐานะนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถต่างกัน ความเจ๋งของบทก็คือการกระจายความสำคัญให้ตัวละครหลักสี่เพื่อนซี้กันอย่างถ้วนหน้าทำให้รู้สึกว่าทุกคนคือคนสำคัญ ซึ่งนั่นคือบทบาทเชิงวิทยาศาสตร์ที่ต้องคิดค้นหาและแก้ไขแล้วด้วยความที่ไม่พยายามลงรายละเอียดเชิงทฤษฎีมากมายก็ทำให้ตัวละครได้ใจจากตรงนี้ ส่วนที่เยี่ยมคือการผูกความสัมพันธ์เชิงมิตรภาพที่ทับซ้อนกับความรักได้ลงตัวชนิดที่ไม่มีล้นออกมาก็คือไม่จงใจยัดเยียด ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ต้องการมิติทางอารมณ์หรือทางหัวใจก็สามารถจับใจได้เพราะนักแสดงหลักอย่าง Jovan Adepo,Eiza González,Jess Hong และ Alex Sharp ทำได้ดีพอโดยเฉพาะรายหลังที่เด็ดขาดมากในการรับบทคนป่วยใกล้ตายและมดแดงแฝงพวงมะม่วง ส่วน Benedict Wong,Rosalind Chao และ Liam Cunningham ก็คือส่วนเสริมชั้นดีเป็นซีรีส์เครื่องร้อนช้าที่อาจต้องแลกมาด้วยความอดทนในช่วงปูแต่เมื่อเรื่องราวต่อกันติดอะไรก็หยุดไม่อยู่ มาถึงตรงนี้คงต้องมาว่ากันที่ความเห็นส่วนตัวที่อาจต้องเตือนก่อนว่าไม่เหมาะกับคนที่ความอดทนต่ำเพราะเป็นซีรีส์จำนวนแปดตอนที่เครื่องร้อนช้า นั่นคือสามตอนแรกทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จะระดมเข้ามาพร้อมกับเหตุการณ์ที่เหมือนจะไม่เกี่ยวกันเหมือนต่างคนต่างไปเพราะมีทั้งจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดที่มาจากอดีต และปัจจุบันที่ทุกอย่างที่เป็นคือการระดมความสงสัยมาให้แบบไม่เว้นระยะห่างแต่ด้วยการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างละเลียดแถมด้วยต้องจับใจความไปด้วยอาจทำให้ความอดทนของบางคนสิ้นสุด แต่ถ้าดูแล้วจับใจความสำคัญหยิบชิ้นส่วนได้ครบเมื่อถึงเวลาก็กลายเป็นความบันเทิงที่คุ้มค่ากับความอดทนเพราะเมื่อเรื่องทุกอย่างที่ปูมาแต่แรกเริ่มเชื่อมโยงสัมพันธ์ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา นั่นหมายความว่าเมื่อความสงสัยว่าอะไรเป็นอะไรสิ้นสุดก็ถึงเวลาที่เรื่องจะเดินไปข้างหน้าด้วยความลุ้นว่าจะไปจบลงที่ตรงไหนชนิดอะไรก็หยุดไม่อยู่ แน่นอนเมื่อถึงตรงนี้ก็คงต้องรอว่าจะมีการสานต่อเรื่องราวออกมาหรือไม่เพราะบางทีผู้เขียนก็เกลียดซีรีส์ฝรั่งแบบนี้ที่เล่ามาอย่างดีแล้วทิ้งไว้ตรงนี้แบบไม่มีการสานต่อทำให้ค้างคาและมันเป็นมาหลายเรื่องแล้วที่ไม่รู้บทสรุปดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก จาก Instagram netflixthภาพที่ 1, ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8,9 จาก Instagram 3bodyproblem