มันเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยโครงกระดูกและงาช้างกองเกลื่อนกลาดทั้งเล็กและใหญ่คละกันไป ประมาณกันว่าไม่ต่ำกว่า 200 - 300 คู่คือส่วนหนึ่งในคำอธิบายถึง ป่าช้าช้าง ที่นาย ดิเรก ผู้จัดการเหมืองแร่และป่าไม้แห่งเมืองกาญจน์บอกเล่าผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ จนกลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืน คำสัมภาษณ์ของเขาและพรานคนหนึ่งที่อ้างว่าได้ไปพบกับสถานที่ที่ไม่น่ามีอยู่จริงแห่งนี้เข้าโดยบังเอิญทำให้ประชาชนแตกตื่นและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับ ศักดิ์ สุริยัน นักเดินป่าเลื่องชื่อที่แม้จะเคยพบเจอสิ่งอัศจรรย์ภายในป่ามาหลายต่อหลายครั้งครั้งกลับมองว่านี่เป็นเพียงข่าวลือและโคมลอยใบใหญ่เท่านั้น เขาไม่เคยคิดว่าสุสานแห่งช้างป่าแบบนั้นจะมีอยู่จริงนอกจากในภาพยนตร์อย่างทาร์ซาน แต่ถึงจะคิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลมากเพียงใด โอกาสที่เขาจะได้พิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเองกลับพุ่งเข้าหาเขาโดยแทบไม่ทันให้ตั้งตัว และนี่ก็กลายเป็นเหตุที่ทำให้เขาออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าป่าสู่การผจญภัยครั้งใหม่อีกครั้งค่ะแน่นอนว่าถ้าเกริ่นถึง ศักดิ์ สุริยัน พรานป่าชื่อดังคนนี้แล้ว หนังสือที่เราจะนำมารีวิวในวันนี้ก็คงหนีไม่พ้น ล่องไพร อีกเช่นเคยค่ะ ซึ่งเราจะขอสรุปเกี่ยวกับนิยายชุดนี้ซักเล็กน้อย เพื่อให้คนที่ไม่เคยอ่านมาก่อนได้ทำความรู้จักล่องไพรมากขึ้นนะคะ สำหรับใครที่พอจะรู้ข้อมูลคร่าว ๆ อยู่แล้วสามารถข้ามไปอ่านในส่วนของรีวิวได้เลยค่าล่องไพร เป็นนวนิยายชุดเกี่ยวกับการผจญภัยลี้ลับในป่าดงพงพีของเมืองไทย แต่งโดยนามปากกา น้อย อินทนนท์ หรือ มาลัย ชูพินิจ นักเขียนผู้เป็นอมตะแห่งวงการหนังสือผจญภัย ซึ่งถ่ายทอดเนื้อหาการผจญภัยออกมาได้อย่างน่าค้นหาและชวนให้ลุ้นตาม ดำเนินเรื่องผ่าน ศักดิ์ สุริยัน ชายผู้เชี่ยวชาญการเดินป่าและรักป่าเป็นชีวิตจิตใจที่มักถูกเลือกให้ทำหน้าที่เป็นพรานหรือผู้นำทางให้คนหลายกลุ่มที่มีเป้าหมายเดียวกันคืออยากแสวงหาความลี้ลับของป่า การเดินทางแต่ละครั้งทำให้ศักดิ์ได้พบกับเรื่องมหัศจรรย์มากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนป่าของเมืองไทย เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและลุ้นระทึกอย่างที่คนทั่วไปคงไม่มีโอกาสได้พบเจอ สำหรับครั้งนี้เราเลือกที่จะหยิบลำดับที่สามของชุดอย่าง ล่องไพร ตอน ป่าช้าช้าง และ เจ้าแผ่นดิน มารีวิวให้ทุก ๆ คนกันค่ะ ซึ่งสำหรับลำดับที่สองของชุดอย่าง ล่องไพร ตอน มนุษย์นาคา แดนสมิง หุบผามฤตยู เราก็เคยรีวิวไว้แล้วในบทความก่อนนะคะ แม้ล่องไพรจะเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาจบภายในเล่ม แต่เพื่อให้เวลาอ่านสามารถย้อนความตามตัวละครได้โดยไม่ติดขัดหรือเสียอรรถรส เลยอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองไปอ่านรีวิวลำดับที่สองของชุดดูก่อนค่ะ จะได้เป็นการปูพื้นก่อนขึ้นเล่มใหม่กันนะคะคลิกตรงนี้เพื่อไปยังบทความได้เลยค่ะ : รีวิวนวนิยายผจญภัย : ล่องไพร ตอน มนุษย์นาคา แดนสมิง หุบผามฤตยูเอาล่ะค่ะ ถ้าพร้อมแล้วเราไปพบกับล่องไพร ตอน ป่าช้าช้าง และ เจ้าแผ่นดิน กันเลยค่าเรื่องย่อล่องไพร ตอน ป่าช้าช้าง และ เจ้าแผ่นดิน เป็นเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของ ศักดิ์ สุริยัน ซึ่งถูกนาย กำจร เกียรติสุวรรณ เศรษฐีชื่อดังผู้ชื่นชอบการกุศล ทาบทามเขาให้มาเป็นพรานพี่เลี้ยงให้ในการออกตามหาป่าช้าช้างตามคำบอกเล่าของ ดิเรก ผู้จัดการเหมืองแร่และป่าไม้ที่จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งแท้จริงแล้วยังเป็นว่าที่ลูกเขยของนายกำจรอีกด้วย ดิเรกเป็นคู่หมั้นของ สายสุณี ลูกสาวของกำจร ดังนั้นเขาจึงบอกทุกอย่างที่รู้แม้กระทั่งเส้นทางที่จะนำไปสู่ป่าช้าช้างให้แก่พ่อตาโดยไม่คิดปกปิดดิเรกเล่าว่าเขาได้ยินข่าวลือเรื่องป่าช้าช้างมาแล้วหลายปีตั้งแต่กำจรส่งเขาไปเป็นผู้จัดการเหมืองแร่ที่บ้องตี้บน ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อแต่เมื่อปีกลายมีช้างโทนตัวหนึ่งเข้าทำลายหมู่บ้านกะเหรี่ยงแล้วถูกยิงบาดเจ็บสาหัส เขากับพรานที่ชื่อ ส่วยบดี จึงตามมันไปร่วมเดือนจนพบซากของมันในหุบเขาใหญ่ระหว่างเขตแดนไทย - พม่า จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเต็มไปด้วยโครงกระดูกและงาช้างจำนวนมาก ดิเรกจึงใช้เวลาสำรวจอยู่หลายวันจนแน่ใจในภูมิประเทศเหล่านั้น แล้วทำแผนที่สังเขปนำไปรายงานนายกำจรความเชื่อมั่นว่าดิเรกไม่มีทางโกหกแน่ ๆ ทำให้กำจรตัดสินใจทุ่มงบประมาณในการตามหาป่าช้าช้างที่ว่านั่น เขาคิดว่านี่จะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย งาช้างทั้งหมดจะตกเป็นของพิพิธภัณฑ์สถานให้คนทั่วไปได้เยี่ยมชมและชื่อเสียงในการค้นพบจะเป็นของกำจรและคณะสำรวจทั้งหมด และแม้ว่าท้ายที่สุดอาจไม่พบ เขาก็พร้อมที่จะได้รับความล้มเหลวเหล่านั้น ในตอนแรกศักดิ์มองว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลแต่หลังจากได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของนายกำจรบวกกับเขาค่อนข้างถูกชะตากับเศรษฐีผู้ซื่อตรงคนนี้ ศักดิ์จึงตัดสินใจตอบรับเป็นพรานประจำตัวให้แก่กำจรและร่วมออกเดินทางตามหาป่าช้าช้างในที่สุด ขบวนสำรวจจึงถูกจัดตั้งขึ้นนำทีมโดยนายกำจร ดิเรก สายสุณี ศักดิ์ และ ตาเกิ้นพรานมือขวาของเขา พร้อมด้วยลูกหาบอีกหลายคน ที่สุดแล้วป่าช้าช้างจะมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงเรื่องไร้สาระกันแน่ สามารถไปพิสูจน์ความจริงได้ภายในเล่มเลยค่ะรีวิว สำหรับล่องไพรตอนป่าช้าช้างและเจ้าแผ่นดินยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจและแฝงไปด้วยความมหัศจรรย์ของป่าใหญ่อีกเช่นเคยค่ะ แม้จะเป็นการผจญภัยในป่าเหมือนเดิมซ้ำ ๆ แต่ล่องไพรก็สามารถสร้างความแปลกใหม่และสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจใหม่ ๆ ในแต่ละเล่มได้เสมอ ทำให้สามารถดึงผู้อ่านให้ใจจดใจจ่อกับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างทางที่ไปป่าช้าช้างพวกเขาต้องฝ่าด่านอันตรายทั้งจากป่าและจิตใจของตนเอง บางคนพลาดและไม่ได้ไปต่อ บางคนสูญเสียสิ่งสำคัญ ซึ่งผู้เขียนสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างดี ทำให้เราอินและรู้สึกร่วมไปกับตัวละครจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในขบวนสำรวจด้วยเลยค่ะ เบาะแสที่ค่อย ๆ เผยออกมาทำให้ลุ้นระทึกจนอยากค้นพบความจริงในบทสรุปเสียทีว่าป่าช้าช้างมีจริงหรือไม่ เส้นทางกว่าจะไปให้ถึงป่าช้าช้างที่เต็มไปด้วยความยากลำบากทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครแบบไม่รู้ตัว พวกเขาต้องสู้กับลิงยักษ์ เผชิญกองทัพหนู ตกอยู่กลางฝูงเสือ ค้นพบหมู่บ้านผีดิบและแรดเผือก โขลงช้างป่ายปริศนา เรียกได้ว่ามีแต่สิ่งเหลือเชื่อที่นำไปสู่เรื่องราวการผจญภัยที่เต็มอิ่มสมกับเป็นล่องไพรจริง ๆ ค่ะ และในเล่มนี้ยังมีตอนเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นตอนพิเศษที่ตาเกิ้นจะได้ออกมาวาดลวดลาย โชว์ความร้ายกาจที่แกมี ด้วยเนื้อหาสบายคลายเครียดทำให้เราได้พักจากความรู้สึกหนัก ๆ หลังอ่านพาร์ทป่าช้าช้างจบอีกด้วยค่ะในส่วนของการเนื้อหายังคงถ่ายทอดออกมาได้อย่างเห็นภาพ แม้จะกล่าวถึงสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ผู้เขียนก็สามารถบรรยายออกมาได้อย่างชัดเจน และด้วยความที่เล่มนี้ค่อนข้างบางเมื่อเทียบกับล่องไพรเล่มอื่น ๆ ทำให้แต่ละบทกระชับและเนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็วแทบไม่ให้พักหายใจ ลุ้นตลอดเวลาที่อ่านเลยค่ะ จากอุปสรรคหนึ่งไปสู่อุปสรรคหนึ่ง ค่อย ๆ ไต่ระดับความพีคไปเรื่อย ๆ ทำให้พอถึงจุดที่พีคที่สุดก็เล่นความรู้สึกผู้อ่านได้เป็นอย่างดี มีจุดหักมุมแบบไม่ทันเตรียมใจหลายจุด ในช่วงล่าสัตว์หรือหนีตายก็ทำเอาเราเหนื่อยตามเลยทีเดียว และแน่นอนว่าพออ่านจบแล้วล่องไพรยังคงให้ปรัชญาชีวิตและแนวคิดดี ๆ ที่แฝงมากับเนื้อหาอีกเช่นเคย ที่สำคัญนอกจากจะได้ความสนุกและข้อคิดแล้วเรายังได้ความรู้รอบตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะสำหรับหนังสือฉบับรูปเล่มยังคงหาซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ร้านหนังสือออนไลน์ทั่วไปและมีอีบุ๊คสำหรับผู้ที่ไม่ชอบพกพาฉบับเล่มอีกด้วยนะคะเรียกได้ว่าล่องไพรเป็นนิยายผจญภัยที่เป็นมากกว่าหนังสือจริง ๆ ค่ะ อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านกันนะคะ แล้วจะพบว่าเราทุกคนอาจมีความเป็นนักผจญภัยในตัวเองอย่างที่คาดไม่ถึงเลยล่ะค่ะหวังว่าถ้ามีโอกาส คราวหน้าคงได้หยิบยกตอนอื่น ๆ มารีวิวให้ทุกคนอีกนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่า ภาพทั้งหมดในบทความถ่ายโดยผู้เขียน