จากที่ผมเขียนไว้ที่หัวข้อของบทความ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "Ash Princess" หรือแปลแบบตรงตัวได้ว่าเจ้าหญิงเถ้าถ่าน หากผมเดินไปเจอแถวร้านหนังสือ บอกได้เลยว่าผมอาจเลือกที่จะไม่หยิบมันขึ้นมาอ่านคำโปรยของปกหลังด้วยซ้ำ แต่ในกรณีของหนังสือเล่มนี้ มันมาหาผมเองครับ ทำไมถึงพูดแบบนั้นน่ะหรือ ก็เพราะว่าผมได้หนังสือเล่มนี้มาจากเพื่อนของพ่ออีกที เขาได้ให้เหตุผลว่าเห็นเมื่อก่อนผมชอบอ่านหนังสือแนวประมาณนี้ พอเขาอ่านเล่มนี้จนเบื่อแล้วจึงได้ส่งต่อมาให้ผม ผมเพียงท้วงในใจว่าผมเคยอ่านแนวโรแมนติกแฟนตาซีที่ไหนกัน (ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นแนวอะไร แต่เดาจากชื่อนิยายเอาเท่านั้น) ผมก็ได้แต่รับไว้และคิดว่าถ้ามีเวลาว่างมาก ๆ ก็ค่อยอ่านดีกว่า ถึงอย่างไรผมก็ไม่ค่อยสนใจอยู่แล้ว กระทั่งเวลาผ่านไปเกินครึ่งปี ผมจึงกลับมาเปิดหน้าหนังสือนี้อ่าน ทว่าสิ่งที่ผมอ่านเจอนั้นไม่ใช่แค่โรแมนติกแฟนตาซีแบบทั่วไป มันกลับมีรายละเอียดหลายอย่างที่ต่างจากผมคิดไว้มาก ยิ่งอ่านไปมากขึ้น มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เปิดอ่านตั้งแต่วันที่ได้หนังสือมาวันนั้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ทำไมหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมคิดแบบนั้นได้ เดี๋ยวผมจะมารีวิวให้ท่านผู้อ่านในบทความนี้ครับ ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อหาของเรื่อง ผมอยากจะพูดถึงปกนอกของหนังสือเล่มนี้เสียหน่อย เหมือนกับว่าผู้ออกแบบปกจะใช้วิธีการใส่สีโทนร้อนสลับกับโทนเย็น เพื่อเบนจุดสนใจของผู้อ่านให้ไปอยู่แค่บางจุดของหนังสือ การดีไซน์เล่มก็ทำให้ดูคล้ายไฟที่มอดไหม้หน้ากระดาษจนเหลือเป็นช่องตรงกลางรูปมงกุฎ กับขอบกระดาษที่ก็ไหม้เล็กน้อย รอบรอยไหมก็จะมีขี้เถ้าซึ่งจะถูกเปรียบเทียบกับตัวเอกในนิยายต่อไป นอกจากไฟที่เป็นโทนร้อน ตัวหนังสือบางตัวที่ต้องการจะเน้นก็ใช้สีแดงเช่นเดียวกัน ที่ปกหน้าผมแปลได้ว่า "ในดินแดนที่ไร้ราชินี เจ้าหญิงก็จำต้องลุกขึ้นสู้" ส่วนปกหลังก็จะมีอีกคำโปรยที่ว่า "ราชินีที่เธอควรจะเป็น ดินแดนที่เธอควรจะรักษา บังลังก์ที่เธอควรจะครอบครอง" ทำให้ผมร้องโหขึ้นมาเลยทีเดียว แค่จากที่อ่านคำโปรยมาแล้ว เนื้อเรื่องมันต้องมีเกี่ยวกับความขัดแย้งอะไรบางอย่างแน่นอน แต่จะเป็นอะไรตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ จึงต้องเริ่มอ่านอย่างจริงจังครับ ความยากของการอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่เพียงแต่มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจ มีการสอดแทรกการหักมุมต่าง ๆ นานา การวางแผน การวางกลยุทธ์เพื่อหลอกล่อศัตรู การหักหลังกันของตัวละคร แต่ยังมีกำแพงด้านภาษาซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมอ่านได้ช้ากว่าหนังสือที่มีการแปลเป็นไทยแล้ว ทว่าเมื่ออ่านไปได้เรื่อย ๆ ก็ทำให้ผมตระหนักแล้วว่า การอ่านภาษาอังกฤษตามนิยายไม่จำเป็นต้องอ่านให้เข้าใจความหมายได้หมดทุกตัวอักษร เพราะไม่อย่างนั้น อารมณ์ของการอ่านมันจะเหือดหายไปกันการใช้เวลาเป็นหาคำแปลของคำศัพท์นั้น (บอกได้เลยว่า ยิ่งเป็นนิยายเกี่ยวกับการปกครอง การแย่งดินแดนด้วยแล้ว ยิ่งแปลยากเลยครับ มีศัพท์ที่ไม่รู้จักเต็มไปหมด) พอได้ข้อสรุปว่าแค่อ่านให้พอจับใจความได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเฉย ๆ ไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดขนาดนั้น ก็ส่งผลให้การอ่านของผมเร็วขึ้นเกือบเท่าตัว ตอนนั้นอ่านได้เร็วพอ ๆ กับหนังสือที่แปลไทยแล้วครับ เอาล่ะได้เวลาพูดถึงเนื้อเรื่องกันแล้ว จากตอนแรกที่ผมคิดว่ามันเป็นนิยายแนวโรแมนติกแฟนตาซี แต่แท้ที่จริงมันมีความโรแมนติกอยู่น้อยมากเลยครับ ส่วนใหญ่เหตุการณ์จะพุ่งไปที่การพยายามวางแผนของตัวละครเอกร่วมกับเพื่อน ๆ ตัวเอกทั้งหลายเสียมากกว่า นอกเหนือจากนั้นก็จะมีเหล่าเหตุการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ตัวอย่างเหตุการณ์แบบนั้น และหนึ่งในฉากที่ผมชอบที่สุด คือตอนที่ตัวเอกต้องไปร่วมงานเลี้ยงกับศัตรูโดยที่ถูกบังคับให้สวมมงกุฎไฟที่บัดนั้นเหลือแต่มงกุฎที่โปรยขี้เถ้าไปแล้ว ทั้งการอธิบายฉาก ทั้งการใส่อารมณ์ตัวละครก็ทำให้ผมรู้สึกแย่ตามได้ด้วยเลยล่ะครับ ตอนจบของเรื่องนั้นก็ยังคงมีการทิ้งปมไว้ให้สานต่อหลายอย่าง จนผมต้องตั้งคำถามว่า แล้วต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แล้วเรื่องที่ตัวเองค้างคาไว้ล่ะ รวมถึงคำถามอีกมากมาย ถ้าผมหาภาคต่อเจอก็อยากจะลองซื้อมาอ่านอยู่เหมือนกัน แต่จริง ๆ แค่อ่านเล่มนี้ก็คล้ายกับว่ามันจบไปแล้วส่วนนึงนะ ความจริงก็มีฉากอื่นที่ผมชอบมากกว่านี้ด้วย แต่ผมก็ไม่อยากจะสปอยไปมากกว่านั้นนี่สิ เอาเป็นว่า ผมขอแนะนำให้ผู้อ่านที่อยากลองอ่านแนวแฟนตาซีผสมกับการปกครองสมัยยุคกลางก็ลองตามไปหาหนังสืออ่านกันได้นะครับ สำหรับบทความนี้ก็จบลงแล้ว ขอขอบคุณครับเครดิตภาพภาพปก และภาพประกอบบทความถ่ายโดยผู้เขียนเครดิตหนังสือหนังสือเรื่อง "Ash Princess"หนังสือขายดีเป็นอันดับหนึ่งของ New York Timeเขียนโดยคุณ Laura Sebastian เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !