สวัสดีค่ะทุกคน ช่วงนี้ก็เป็นช่วงการสอบข้อเขียนของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเมื่อราว ๆ สามปีที่แล้วนึกย้อนกลับไปแล้วอดหัวเราะกับเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ เลยอยากเชิญผู้ที่สนใจเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนหรือบุคคลทั่วไปมาอ่านบทความนี้กันค่ะ เป็นบทความแรกของเราและตั้งใจจะเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จนหมดเรื่องที่จะเขียนเลย เหตุเกิดจากความคิดถึงช่วงเวลานั้นล้วน ๆ เล่าความตั้งใจในการไปแลกเปลี่ยนของเราก่อนนะคะ เรารู้จักการไปแลกเปลี่ยนตั้งแต่สมัยประถม ซึ่งก็ประมาณเกือบสิบปีที่แล้ว รู้สึกว่าการไปแลกเปลี่ยนเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น หลังจากนั้นช่วงมัธยมต้นเลยตั้งใจไว้ตลอดว่าต้องมีสักวันที่เราต้องเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนให้ได้ เราทำการศึกษาหาข้อมูลและเลือก 1-2 โครงการในใจ และเลือกประเทศเป็นสหรัฐอเมริกา รู้สึกว่าการไปอยู่ที่อเมริกาเนี่ยมันเท่มากเลย จากนั้นเราทำการสมัครสอบข้อเขียนช่วงมัธยมสี่ พอพูดถึงขั้นตอนการไปแลกเปลี่ยนแล้ว เราก็ลืมสิ้นหมดทุกอย่าง รู้แค่ตอนนั้นภาษาอังกฤษเราไม่แข็งมาก เอกสารก็ยุ่งยาก ผ่านมาได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ เพราะลืมหมดแล้วจริง ๆ เอาเป็นว่าช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2019 เราได้รับอีเมลสุดประหลาดมาจากคนที่ไม่คุ้นชื่อ พอกดเข้าไปอ่านก็งงสุดขีด เนื้อความข้างในเขียนว่าเป็น Host Family From California เราอึ้งไปพักใหญ่ โครงการยังไม่แจ้งอะไรเรามาเลยแต่มีอีเมลจากโฮสต์ (ผู้รับอุปถัมภ์เรา) ส่งมาแล้ว อีกอย่างคือ ก่อนหน้านี้เราภาวนาสุดใจเหมือนแฮร์รี่ตอนใส่หมวกคัดสรรไม่มีผิด! "ไม่เอาแคลิฟอร์เนีย" "ไม่เอาแคลิฟอร์เนีย" "ไม่เอาแคลิฟอร์เนีย" พูดวนอยู่ในหัวเป็นล้านรอบ เพราะตอนนั้นเราคิดว่าแคลิฟอร์เนียมีแต่คนเอเชีย อยากไปอยู่ในที่ที่มีแต่ฝรั่ง! เราจะได้ฝึกภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่ แต่เราคิดผิดถนัดเลยค่ะ เพราะจากที่ไปอยู่มาเรากลับรักเมืองนี้มาก นึกย้อนกลับไปทีไรก็คิดถึง เอาล่ะ กลับไปเรื่องเดิมดีกว่า หลังจากที่เราได้รับอีเมลแปลก ๆ เราจึงอ่านและตอบกลับไป โฮสต์เราเป็นคนเวียดนามที่ไปเติบโตในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกาค่ะ ดังนั้นเขาจะชินกับความเอเชียของเรามาก ๆ ขอข้ามเวลาไปช่วงใกล้ ๆ บินเลยนะคะ เราไปตามซื้อของฝากต่าง ๆ ให้โฮสต์และเตรียมกระเป๋า ซึ่งขั้นตอนนี้ยากมาก ๆ เราต้องคุมน้ำหนักกระเป๋าด้วย ของฝากด้วย เสื้อผ้าเลยเอาไปได้น้อย แต่ช่างมันเถอะ เราต้องบินแล้ว! วันบินเราต้องบินหลายต่อค่ะ จากกรุงเทพฯ ไปไต้หวัน จากไต้หวันไปที่อเมริกา แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เราเตรียมตัวและบอกลาครอบครัวที่ไทยเรียบร้อย ช่วงขึ้นเครื่องบินจากที่ไทยก็แอบคิดว่าเราจะได้จากประเทศบ้านเกิดไปชั่วคราวแล้ว ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรต่อนะ แต่เราก็หยุดความคิดนั้นไว้เมื่อไปถึงประเทศไต้หวัน เป็นครั้งแรกที่เราเคยมาประเทศนี้เลย ตอนนั้นเรารู้สึกดีมากเพราะเราชอบศิลปินคนหนึ่งที่เป็นคนไต้หวัน แต่เติบโตที่อเมริกา เขาคนนั้นคือมาร์ค ต้วนแห่งวง GOT7 เองค่ะ เพราะเหตุนั้นตอนอยู่ไต้หวันเลยตื่นเต้นมาก ๆ แม้ไม่ได้ทำอะไร แค่แวะพักไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นต้องเดินทางต่อไปที่สนามบินในลอสเอนเจลิส เมืองแคลิฟอร์เนียแล้ว ระหว่างทางที่ไทยเราเจอเพื่อนรุ่นเดียวกับเราสองคน ไปลงที่ลอสเอนเจลิสเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนะคะ ตอนนั้นมีเราคนเดียวที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปที่นั่น เลยต้องสู้ชีวิตนิดนึง เกาะกลุ่มกันเข้าไว้ค่ะ พอขึ้นเครื่องบินที่ไต้หวันเราไม่ได้ตั๋วที่นั่งใกล้เพื่อน แต่ได้นั่งข้างคุณยายสองคนซึ่งมาจากประเทศลาวค่ะ รู้สึกอุ่นใจมากเพราะเขาฟังเรารู้เรื่อง ได้คุยกันนิดหน่อยระหว่างทาง เพราะนอกนั้นหลับสถานเดียวค่ะ ก่อนลงจอดผู้โดยสารต้องกรอกใบอะไรสักอย่างด้วย คุณยายให้เรายืมปากกา ใจดีมาก ๆ แล้วเราก็ลืมคืน... ยังรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเราแยกกับคุณยายตั้งแต่หลังลงเครื่องเลยค่ะ ใช่แล้ว ตอนนี้เราถึงอเมริกาแล้วค่ะ กลับไปรวมกับเพื่อนเหมือนเดิม เข้าไปก็ต้องตอบคำถามพนักงานที่สนามบินว่ามาทำอะไร กระเป๋ามีอะไรบ้าง ตอนนั้นเราตัวสั่นเฉยเลย เขาน่ากลัวค่ะ แต่ก็ตอบไปเท่าที่เด็กอายุ 16 จะทำได้ จากนั้นเขาก็ปล่อยเราไป ดีใจมากๆ แต่เพื่อนคนหนึ่งโดนเจ้าหน้าที่กักตัวไว้ค่ะ เราแยกกันตรงนั้นเลย เขาต้องไปตอบคำถามต่อมั้ง เรากับเพื่อนอีกคนเลยออกมารับกระเป๋าและแยกย้ายกันค่ะ ตอนนั้นมีพี่คนหนึ่งมาหาเรา ถามเราว่าชื่อปิ่นใช่ไหม (บอกตรงนี้เลยแล้วกัน ใช่แล้ว เราชื่อปิ่นค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนักอ่านทุกท่านนะคะ) เราก็ตอบว่าใช่ เขาก็พาไปเจอเจ้าหน้าที่อีกคนที่ค่อนข้างสูงวัยแล้ว เขาถามเราว่าชื่อ Pin หรอ แล้วก็ยิ้ม พูดต่ออีกว่า "ฉลาดหลักแหลมดั่งปลายเข็มเลยใช่ไหม" เรานี่ตกใจปนเขินค่ะ งงด้วย แต่ก็ได้แต่ยิ้มตอบเขาไป หัวเราะแห้งเพราะตอนนั้นมึนเครื่องบินมากกกกกกกกกกก พี่ผู้หญิงที่เจอเราเขาพาไปทำอะไรก็ไม่รู้ (ตอนนั้นไม่รู้ตัว) สรุปว่าเราต้องจ่ายเงินเพิ่มนิดหน่อยเลยรูดบัตรมันซะตรงนั้น เปิดโลกมากเพราะอยู่ไทยก็ไม่เซียนจ่ายของด้วยบัตรค่ะ แต่ชีวิตก็ต้องมีครั้งแรก เราจ่ายค่าโหลดกระเป๋า เพราะเราต้องบินต่อ! ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าต้องบินต่อไปอีกเมืองหนึ่ง คือบินในรัฐนี่แหละค่ะแต่แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่ใหญ่มาก เลยต้องบินต่อ เราเหนื่อยหมดแรง แค่จากไทยมาอเมริกาก็ยี่สิบกว่าชั่วโมงแล้ว เริ่มท้อแล้วนะ หลังจากนั้นเราต้องขึ้นมาตรวจสัมภาระต่าง ๆ และรอที่เกทค่ะ ทีมเจ้าหน้าที่เขาให้เงินสดมาด้วย ถ้าจำไม่ผิดคือ 10-20 ดอลลาร์ เขาบอกว่าต้องรอเครื่องบินนาน เลยให้ pocket money มาค่ะ ระหว่างทางมาที่เกทเราก็ผจญภัยจริง ๆ แล้ว ไม่รู้เลยว่าต้องไปทางไหน สนามบินก็ใหญ่มาก ตอนนั้นเลยต้องพึ่งสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดค่ะ เราเดิมมาเรื่อบ ๆ เจอป้ายโปรโมต Universal Studio Hollywood ใหญ่มาก แฮร์รี่ พอตเตอร์เต็ม ๆ ตา มีความสุขมาก เหมือนได้เจอคนที่คุ้นเคยค่ะ 55555 แต่มันยังไม่จบ! เราเดินไปต่อจนถึงเกท วางสัมภาระ แล้วนั่งติดเก้าอี้เลย กลัวคนอื่นมาแย่งที่ค่ะ รอประมาณ 4-6 ชั่วโมง ช่วงนั้นเราก็เดินไปหาอะไรกินบ้าง เจอน้ำขวดนึงน่าจะ 7 ดอลลาร์ถ้าจำไม่ผิด เราจอดเลยค่ะ น้ำดื่มเปล่า ๆ นี่แหละ ทำไมมันแพงอย่างนั้น! แต่เราก็ซื้อมาค่ะ อยากรู้ว่าน้ำแพงแล้วจะอร่อยไหม สรุปมันสดชื่นมาก ชอบค่ะ 555 เราหาอะไรกินรองท้องเพราะเรารอนานมากจริง ๆ ช่วงนั้นโทรกลับมาหาครอบครัว เราแทบทนไม่ได้เลยร้องไห้ออกมาเบา ๆ สร้างซีนอารมณ์อยู่คนเดียวในห้องน้ำค่ะ เราาร้องไห้เพราะมันเหนื่อยมาก กับการเดินทาง กับการอยู่คนเดียว ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่คนเดียวอยู่แล้วนะ แต่วันนั้นหนักจริงค่ะ เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เปิดโลกของตัวเองให้กว้างขึ้น ช่วงที่เราร้องไห้เราได้แต่คิดว่า "กลับเลยได้มั้ย ตอนนี้เลย" "เราคิดถูกหรือคิดผิดที่ตัดสินใจมาประเทศที่ไม่มีครอบครัวเราอยู่ที่นี่เลยนะ" คิดสารพัดอย่างมากค่ะ แต่หลังจากที่รู้สึกว่าร้องไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จะกลับตอนนี้ไม่ได้ อุตส่าห์ต่อสู้กับการทำเอกสารกองเท่าภูเขามาได้ ด่านนี้ก็ต้องผ่านไปให้ได้เหมือนกัน เราเลยไปนั่งรอต่อค่ะ ก่อนหน้านั้นที่เกทเราจะมีเครื่องบินไปที่รัฐ Texas ด้วย คนที่เกทเลยเยอะค่ะ ช่วงนั้นสภาพแวดล้อมเรามีแต่ภาษาอังกฤษ เรายังไม่ชินเลยแต่ต้องผ่านไปให้ได้ เราได้ยินเจ้าหน้าที่ที่เกทพูดอะไรบางอย่าง นึกเอาเองว่าเขาถามว่า "ใครจะไปเครื่องบินรอบต่อไปบ้าง" อยู่ดี ๆ เราก็ยกมือแสดงตัวขึ้นเสียอย่างนั้น คนทั้งเกทหันมามองเราแล้วทำหน้างง ถ้าได้ยินไม่ผิดเจ้าหน้าที่คนนั้นมองเราและพูดว่า "เธอคิดว่าเธออยู่ในห้องเรียนหรือไงกัน" ด้วย คนรอบข้างแอบขำกันออกมา ตอนนั้นเราหน้าเสียสุด ๆ แค่เริ่มต้นก็พลาดแล้ว สภาพจิตใจเราจากที่พังอยู่แล้วมันก็พังลงไปอีก ตอนนั้นได้แต่นั่งรอต่อไป จนในที่สุดได้ยินประกาศให้ไปขึ้นเครื่องแล้วค่ะ! ซักทีเถอะ พอเราขึ้นเครื่องไปก็พบว่าเครื่องบินนั้นมีขนาดจิ๋วมาก น่าจะจุคนได้ประมาณ 20 คนเองค่ะ แคบ เครื่องไม่เต็ม เราก็นั่งไป มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นความชนบท ใช่แล้ว แคลิฟอร์เนียก็มีทุ่งกว้าง มีพื้นที่เกษตรกรรมเต็มไปหมดเลยค่ะ เรานั่งเครื่องบินจากเมืองลอสแอนเจลิสมาที่เมืองเฟรสโน ซึ่งอยู่ประมาณตรงกลางของรัฐแคลิฟอร์เนียเลยค่ะ ไม่นานมาก เราลงจากเครื่องบินมาแล้วเราก็เคว้ง ไม่รู้ต้องไปทางไหนต่อ แต่แล้วก็มีเสียงสวรรค์เข้ามาในหูค่ะ มีคนทักเรา แล้วก็ยืนยันตัวตนเรา เป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของโครงการ เขาน่าจะเป็นผู้ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนประจำเขตนี้ เขาพาเราไปเอากระเป๋าและขับไปที่บ้านค่ะ ระหว่างนั้นเขาชวนคุยและแวะ Starbucks เราก็เด็กบ้านนอกคนหนึ่งล่ะนะ ไม่ได้ชินกับการสั่งมาก เลยจบที่ชาเขียวค่ะ สั่งง่ายสุด พูดได้ลิ้นไม่พัน เราสั่งแล้วก็นั่งรอ เจ้าหน้าที่เขาก็มาชวนคุยต่อ แล้วอยู่ดี ๆ ก็ถามเราว่าเราเรียนภาษาอย่างไรหรอ ทำไมสำเนียงเธอดีจัง ตอนนั้นก็งงสิคะ แต่ที่พูดไปก็พยายามสุดความสามารถแล้ว เขินเลยตอนโดนชม วันนั้นเลยมีเรื่องใจฟูบ้างค่ะ พอเขาพาเราไปที่บ้านก็แนะนำกฎระเบียบของรักเรียนแลกเปลี่ยน จากนั้นโฮสต์ก็มารับเราค่ะ ขับมา 3-4 ชั่วโมงล่ะ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเห็นหน้าโฮสต์ค่ะ มีโฮสต์มัม โฮสต์แด๊ด และโฮสต์ซิสเตอร์อายุประมาณ 9 ขวบ เราได้รับดอกไม้มาจากโฮสต์ซิส และได้สมุดแพลนเนอร์ที่สวยมาก ๆ มาจากโฮสต์แพเรนท์ค่ะจากนั้นเราพูดคุยกันต่อนิดหน่อย ตอนนั้นเราเงียบมาก ไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นไร่ส้ม ไร่องุ่นต่าง ๆ เต็มไปหมด จากนั้นเราน่าจะผล็อยหลับ ตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็ค่อนข้างมืดแล้ว เรามาถึงบ้าน โฮสต์ซิสกับโฮสต์บราพาเราดูบ้านคร่าว ๆ จากนั้นเราทั้งหมดก็ถ่ายรูปกันค่ะ บรรยากาศเป็นกันเองสุด ๆ ในใจตอนนั้นคือ ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านค่ะ สรุปแล้วเรามีโฮสต์ซิบลิง 3 คน ต่อไปนี้เราจะเรียกแทนว่า ABC นะคะ ถ้าเรียนอายุจากมากไปน้อยจะเป็น C > B > A โดย C เป็นโฮสต์บราเธอร์ อายุ 15 ในเวลานั้น ก็คืออยู่ชั้น sophomore (เกรด 10) หรือประมาณมัธยมสี่ค่ะ ส่วนเราจะอยู่ชั้น junior (เกรด 11) หรือมัธยมห้า คนต่อไปคือ B เป็นโฮสต์บราเธอร์อีกคน อายุ 12 เรียนอยู่เกรดสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมต้นแล้ว อยู่เกรด 8 ค่ะ ส่วนคนเล็กคือ A เป็นโฮสต์ซิส ยังอยู่โรงเรียนประถมอยู่ ซึ่งสามคนนี้อยู่คนละโรงเรียนหมดเลยค่ะ ส่วนเราจะอยู่โรงเรียนเดียวกับ C ที่เป็นคนโตสุด ซึ่งวันแรกที่เราไปถึง C มีซ้อมกีฬาช่วงดึกค่ะ เรารีบถ่ายรูปกัน จากนั้นเรารู้สึกมึน ๆ เหนื่อย และน่าจะเมารถด้วย เลยขอโฮนต์ว่าเราจะไปนอนแล้วนะ โฮสต์มัมบอกให้เรากินซุปก่อนแล้วค่อยไปนอน เขาเข้าใจเพราะเขาก็เคยเดินทางไกล มันเหนื่อยมาก ตอนนั้นเราดีใจมากค่ะที่เขาเข้าใจเรา ไม่ใช่เราไม่อยากคุยด้วยแต่เราเหนื่อยสะสมและง่วงมากจริง ๆ จากนั้นเราเลยกินซุปไปนิดหน่อย แล้วก็นอนค่ะ สลบไปเลย เป็นอันจบวันแรกแห่งการผจญภัยในต่างแดน วันแรกจบลงแต่เพียงเท่านี้ ตอนเราไปถึงได้รับป้ายจากน้อง ๆ ทั้งสามคนด้วยค่ะ น่ารักมาก เราชอบสีเขียวคือชอบยิ่งขึ้นไปอีก แต่กระดาษสีเขียวนี่น้อง ๆ ไม่ได้เลือกเพราะรอบชอบนะ เขาเลือกเพราะมันเป็นกระดาษที่เหลืออยู่ตอนนั้นค่ะ 555 ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ พอได้ย้อนกลับไปดูรูปที่ถ่ายแล้ว ถึงจะไม่ได้ถ่ายบ่อยแต่น่าจะเยอะพอให้เราเอามาทำเป็นหนังสือภาพแหละ ซึ่งไม่รู้จะทำเมื่อไหร่เพราะขี้เกียจมาก ไว้จะเอาภาพมาให้ชมกันบ่อย ๆ ค่ะ ยิ่งเขียนถึงเรื่องนี้แล้วก็คิดถึงชีวิตเมื่อสามปีก่อน ยังมีเรื่องน่าสนุกและเรื่องพีค ๆ อีกเยอะ หากใครชอบสามารถคอมเมนต์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้นะคะ ใครไม่ชอบก็ติเตียนด้วยคำสุภาพได้ค่ะ ช่วงนี้ไฟมาแรงมาก จะมาเขียนให้อ่านบ่อย ๆ ขอให้มีคนอ่านด้วยเถอะ สาธุ ป.ล. ภาพที่ใช้ในบทความนี้ทั้งหมดเป็นภาพที่เราถ่ายเองค่ะ ดังนั้นอย่านำไปใช้ที่อื่นน้า แต่ถ้าต้องการจริง ๆ มาซื้อรูปแบบไม่มีลายน้ำได้ค่ะ ฮ่า ๆ ช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง อะไรก็เป็นเงินเป็นทางหมดล่ะนะอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !