Movie ReviewKingdom 3: The Flame of Destiny มหาสงครามกู้แผ่นดิน 3: เปลวเพลิงแห่งโชคชะตา (2023)จัดเต็มความมันส์ไม่ยั้ง ลุ้นระทึกจิกหัวแม่เท้า ดีกว่าสองภาคแรก ลบข้อบกพร่องออกสนิทกลายเป็นงานมหากาพย์ที่คุ้มค่าทุกนาทีที่ดูโดยทั่วไปงานหนังภาคต่อที่สานต่อเรื่องราวต่อเนื่องกันไปมักจะมีจุดสลบคือคุณภาพและการเล่าเรื่องที่ลดพลังลงทำให้งานภาคต่อๆมาไม่ดีเท่าภาคแรกหรือภาคเริ่มต้น ส่วนหนึ่งคือถ้าย้อนมองกลับไปในหนังภาคต่อเหล่านั้นคือการพยายามเล่นใหญ่ขึ้นซึ่งก็ไม่ผิดเพราะเรื่องที่เล่ามันพัฒนาขึ้น แต่ปัญหาส่วนมากคือการหลงลืมจุดแข็งของตัวเองและคิดเยอะเกินไปหรือคิดแทนคนดูว่าถ้าใส่นู่นนิดนี่หน่อยเข้ามาคนดูน่าจะสนุกขึ้น ซึ่งบางครั้งมันก็สนุกแต่การพยายามแตกปลายหรือเพิ่มตัวละครเพิ่มเรื่องย่อยที่เล่าเข้ามามันดันทำให้เรื่องสะเปะสะปะไม่มีแกนเรื่องที่แข็งแรง ทำให้บางครั้งคนดูดันเผลอคิดไปว่าตัวละครที่ไม่จำเป็นพวกนี้มาทำอะไรในหนังเรื่องนี้เข้าให้เพราะบางทีเล่ามากบานปลายก็พาให้หลงลืมพื้นฐานคือความสนุกของเรื่องราวที่จุดเริ่มต้น และสิ่งนี้คือจุดที่ทำให้หนังภาคต่อมากมายที่เมื่อเดินทางออกจากจุดเริ่มต้นแล้วโซซัดโซเซบางเรื่องเผลอออกทะเลกู่ไม่กลับก็มีจนทำให้ด้านคุณภาพแย่ลง แต่นั่นไม่ใช่กับหนังมหากาพย์ภาคต่อจากญี่ปุ่นเรื่องนี้ที่ยิ่งออกเดินทางไกลมากขึ้นกลับเหมือนพัฒนาขึ้นในทุกด้านหลังจากเอาชนะการรุกรานของแคว้นเว่ยที่ยุทธภูมิที่ราบดาคานแคว้นฉินของพระราชาเอเซ (เรียว โยชิซาวะ) ก็ดูท่าจะมีศึกภายใน ทว่าศึกนอกดันเข้ามาก่อนเมื่อแคว้นจ้าวที่เคยมีความหลังฝังใจคับแค้นแน่นอกอยากยกออกได้ยกพลเรือนแสนมาบุกแล้วยังสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ ร้อนถึงเหล่าเสนาบดีที่ต้องให้คำปรึกษาต่อพระราชาในการรับศึกครั้งนี้ที่ไม่มีใครเหมาะสมในการนำทัพที่กำลังพลน้อยกว่าไปสู้กับข้าศึกเท่าแม่ทัพโอกิ (ทาคาโอะ โอซาวะ) ส่วนชิน (เคนโต ยามาซากิ) ที่กลายมาเป็นศิษย์ของแม่ทัพโอกิเพื่อศึกษาวิชาการรบและพิชัยยุทธก็ได้กลายมาเป็นผู้บัญชาการกองร้อยทหารชาวบ้านที่ได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษ ด้านเต็น (คันนะ ฮาชิโมโตะ) ก็กำลังฝึกเป็นนักกลยุทธ์การศึกก็ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การศึกที่วัดกึ๋นของแม่ทัพของทั้งสองฝ่ายครั้งนี้ว่าแคว้นฉินที่กำลังพลน้อยกว่าจะสู้กับแคว้นจ้าวที่กำลังพลมากกว่าแถมทหารฉินบางส่วนก็เป็นชาวบ้านถูกเกณฑ์มา ทว่าแม่ทัพโอกิก็ทำได้และชินสามารถบั่นศีรษะแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามและฝากชื่อไว้ในแผ่นดินแต่ยังมีแม่ทัพปริศนาที่น่าสะพรึงรออยู่เมื่อทิศทางของเรื่องชัดก็ไม่ต้องไปเยอะให้มากความแล้วเดินไปตามเส้นทางที่เคยทำได้ดีทำให้เรื่องมีจุดโฟกัส ข้อได้เปรียบของหนังชุดนี้ที่เดินทางมาถึงภาคที่สามคือเส้นเรื่องที่ชัดมีแกนเรื่องที่ถูกขีดเส้นไว้อย่างยาวนานในงานมังงะ ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากกรอบที่ต้องทำตามนั้นในด้านการเล่าเรื่องเพราะถ้าเลือกแตกประเด็นออกจากตัวเรื่องในมังงะมากไปรับรองได้ว่าคณะทัวร์จากแฟนมังงะมาลงแน่นอน ดังนั้นการเดินเรื่องจึงชัดเมื่อมาเป็นหนังคนแสดงเพราะตั้งแต่ภาคแรกมาจนภาคนี้มันคือเรื่องของเด็กกำพร้าที่กลายมาเป็นทาสและฝันอยากจะเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจที่สุดในโลก นั่นคือเส้นทางของชินที่จะไต้เต้าไปสู่จุดสูงสุดที่จะต้องมีฉากหลังเป็นการสร้างวีรกรรมผ่านการศึกที่อิงจากประวัติศาสตร์จีน จึงเท่ากับว่ามีจุดโฟกัสที่ชัดในการเดินเรื่องคือเรื่องเส้นทางความฝันของชินและการสู้รบของแคว้นฉินโดยที่ไม่พยายามหลุดไปจากนี้เพราะรู้ตัวดีว่าวัตถุดิบตั้งต้นเป็นของดีมีคุณค่า แล้วเมื่อเดินตามทางเดินที่ดีหนังเลยมุ่งหน้าไปอย่างมีจุดหมายแม้จะยังยาวไกลแต่สิ่งที่ได้คือความน่าติดตามระดับสูงส่งโดยเฉพาะภาคนี้ลบข้อบกพร่องในการเล่าเรื่องจากสองภาคแรกออกจนสนิททำให้ดูลื่นไหลเนียนตามีความเป็นภาพยนตร์เต็มร้อย เมื่อภาคแรกมีการเล่าเรื่องในแบบมังงะเต็มๆทำให้ถ้าว่ากันที่ความเป็นภาพยนตร์เรื่องเดินไปแบบติดๆขัดๆเพราะการเล่าฉากหลังคือการหยุดนิ่งก่อนจะเดินต่อ แล้วภาคสองลดตรงนั้นลงแต่ยังคงหัวใจของมังงะผ่านบทสนทนาที่ทำให้เรื่องเดินหน้าไปเร็วขึ้นแต่ฟังดูลิเกไปบ้างแม้เวลาฉายจะพอๆกันเรื่องเลยเหมือนสนุกขึ้นเพราะไม่มีอะไรมากระตุก แต่ภาคนี้ลดทุกอย่างลงแล้วมาเป็นภาพยนตร์เต็มร้อยที่เล่าเรื่องแฟลชแบ็คย้อนหลังแบบแยกเล่าไปเลยทำให้ความไหลลื่นดูเนียนตากว่าสองภาคที่ผ่านมา กระนั้นก็ยังไม่ทิ้งหัวใจของความเป็นมังงะที่คราวนี้บทพูดไม่ค่อยลิเกแล้วแต่ความเป็นมังงะยังอยู่ในอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าเช่นเรื่องของสหายร่วมรบที่ไม่ต้องเวิ่นเว้อพูดปลุกใจในแบบมังงะแต่แสดงออกทางด้านภาพมากกว่า ส่วนที่ดีอีกอย่างของภาคนี้คือการซ่อนเหลี่ยมซ่อนกลในการทำศึกคือมีลูกล่อลูกชนในแบบพิชัยสงครามทำให้คาดเดาลำบากว่าอะไรจะเป็นอะไรซึ่งก็คือลูกเล่นแบบภาพยนตร์มาเต็มในภาคสามนี้ผลที่ได้คือเป็นภาคที่เรียกได้ว่าดีที่สุดสนุกที่สุดเพราะได้ลุ้นตัวเกร็งใส่ความมันส์มาไม่ยั้งและทุกอย่างมีเหตุผลของมัน เมื่อเรื่องลื่นไหลไปข้างหน้าไม่หยุดแถมยังมีโฟกัสที่ชัดเจนในแกนเรื่องผลที่ออกมาคือกลายเป็นว่าหนังดูสนุกที่สุดในสามภาคที่ผ่านมา เพราะเอาจริงคือสองภาคแรกมีความสนุกมีความมันส์แต่ไม่ค่อยได้ลุ้นอาจเพราะภาคแรกคือการปูเรื่องตัวละครความผูกพันจึงยังไม่เกิด ส่วนภาคสองไม่มีเกมกลในสนามรบชัดเท่าภาคนี้เลยไม่ได้ลุ้นต่างจากภาคนี้ที่ดีกรีความสนุกยังมาเต็มอัตราความมันส์ยังทะลุปรอทแต่ที่เพิ่มมาคืออาการลุ้นจนจิกหัวแม่เท้า นั่นเพราะหนังเลือกเล่าเชิงพิชัยสงครามล่อหลอกกันทำให้มีความแพรวพราวคาดเดาไม่ได้ว่าใครจะหลงกลใครหรือคนดูเองจะเป็นฝ่ายหลงกลหรือไม่ในภาพใหญ่ ส่วนภาพเล็กในส่วนของตัวละครคือชินที่จะต้องสร้างวีรกรรมโดยมีสหายร่วมรบอยู่เคียงข้างก็ลุ้นไม่ต่างกันเมื่อในตอนท้ายลุ้นว่าเขาจะทำได้หรือไม่ แต่ที่เป็นไปได้อย่างไม่น่าจะเป็นได้คือรู้ว่าเขาจะทำได้แต่ก็ยังลุ้นอยู่ดีนั่นเพราะเมื่อมาถึงภาคนี้คนดูมีความผูกพันกับชินไปเรียบร้อยนั่นคือเหตุผลเก่งมากที่เล่าน้อยแต่ได้มากในเรื่องมิติตัวละครที่น่าเสียดายที่เรื่องเน้นไปทางการศึกมากกว่าทำให้การแสดงไม่โดดเด่น ส่วนที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคือเรื่องมิติตัวละครที่เริ่มมีคนอื่นมามีบทบาทมากขึ้นแต่สิ่งที่เป็นคือเล่าไม่มากแต่จับใจความได้หมด ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมเรื่องของน้ำมิตรแห่งสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ที่คราวนี้ไม่ต้องพูดยาวเฟื้อยแต่แสดงออกมาผ่านสถานการณ์ นั่นคือเล่าน้อยแต่ได้มากอาจเพราะการเดินทางมาถึงสามภาคแล้วตัวละครสำคัญมีที่นั่งในใจคนดูไปเรียบร้อยแรกเลยคือชินของเคนโต ยามาซากิ ส่วนที่โผล่ขึ้นมาในภาคนี้คือแม่ทัพโอกิของทาคาโอะ โอซาวะที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มีอาการกวนอวัยวะเบื้องต่ำให้คันหัวใจในกิริยาอาการไม่รู้ว่าร้ายหรือดีแต่ดันเป็นที่รักของคนดู ส่วนน้องคันนะ อาชิโมโตะที่ผู้เขียนรู้สึกร้อนแทนเมื่ออยู่ในชุดนั้นกับเรียว โยชิซาวะก็ได้ความผูกพันมาช่วยทำให้อาจไม่มีบทบาทมากเท่าภาคแรกแต่ก็รู้สึกว่าขาดไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่นี่คือหนังที่เน้นฉากสงครามเลยไม่เห็นการแสดงเชิงลึกแถมยังมีแอคติ้งในแบบหลุดมาจากมังงะให้จั๊กกะจี้หัวใจเล่นๆเป็นงานที่ดูสนุกคุ้มค่าทุกนาทีที่ดูแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าจะลงเอยยังไงได้อย่างน่าทึ่งแถมยังทิ้งท้ายให้ต้องรอภาคสี่กันต่อไป ความเจ๋งของหนังบางเรื่องอาจเป็นแบบนี้คือรู้ทั้งรู้ว่าจะลงเอยแบบไหนแต่ก็ยังดูสนุกได้ลุ้นได้ตื่นเต้นเร้าใจทำให้กลายเป็นความน่าทึ่ง นั่นคือรายละเอียดยังจัดการอารมณ์ได้อยู่หมัดด้วยการอัดความมันส์มาไม่ยั้งตั้งแต่ต้นจนจบ ซ้ำร้ายอาการลุ้นยังเข้ามาสมทบเพราะความผูกพันกับตัวละครมีแล้วเพราะเป็นการขึ้นจอครั้งที่สามจนกลายเป็นว่าเส้นกราฟความสนุกสูงขึ้นเรื่อยๆหนึ่งสองสาม แล้วในภาคนี้ลดความเป็นมังงะลงอีกทำให้ถ้าเป็นคอหนังที่ไม่ชินกับการเล่าเรื่องแบบมังงะหรืออนิเมะจะยิ่งถูกใจทำให้เป็นงานที่ดูสนุกคุ้มค่าทุกนาที หนังยังมาพร้อมความอลังการงานสร้างที่ถึงพร้อมทางด้านคุณภาพแม้จะยังมีอาการของมังงะในส่วนของการแสดงและตัวละครที่ต้องมีกิริยาอาการการแต่งตัวแปลกๆตามสไตล์บ้างก็ไม่เสียหาย ที่สำคัญเมื่อดูมาถึงภาคสามความคันหัวใจที่เห็นหนังจีนที่เป็นญี่ปุ่นก็กลายเป็นความเคยชินแถมยังทิ้งท้ายไว้อย่างน่าติดตามภาคสี่ที่กำลังจะมาเข้าให้จนกลายเป็นภาพยนตร์ชั้นดีดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram kingdom_movie อ่านบทความรีวิวภาพยนตร์ Kingdom และ Kingdom II ได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/jDBX7gvq7rYJ https://entertainment.trueid.net/detail/6Gz01KEjgmg7 ถ้าคุณชอบหนังที่สร้างจากมังงะ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/QKkJ2XxlL9XB https://entertainment.trueid.net/detail/V7YGMX8dM5bN https://entertainment.trueid.net/detail/Gnr6xoky5Jyn จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !