สิ่งหนึ่งครับที่นักเขียนรีวิวเกี่ยวกับหนังหรือว่าอย่างน้อยผมก็จะเป็นเสมอเวลาดูหนังก็คือ ผมมักจะคิดถึงคำพูดที่เราจะเอาไปใช้ในคลิปรีวิว หรือว่าแนะนำหนังเรื่องนั้น ๆ ครับ และหนังขึ้นหิ้งอีกหนึ่งเรื่องอย่าง Schindler’s List ทำให้ผมคิดคำนี้ขึ้นมาได้ครับ มีเหตุผลมากมายที่เราจะไม่ดูหนังสักเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ดูหนังเรื่องนี้ การรีวิวนี้อาจจะแปลก ๆ ไปสักหน่อยนะครับ วันนี้ผมจะมาพูดถึงหนังออสการ์แจกรางวัลกันครับ กับหนังเรื่องนี้Schindler’s List บอกตามตรงครับว่ารู้จักหนังเรื่องนี้มานานมากแล้วแหละ จากเว็บไซต์ IMDb ครับ ที่ปัจจุบันเนี่ยอยู่อันดับ 6 จาก list หนังที่ดีที่สุดในเว็บไซต์ แต่ผมก็ไม่ได้เคยมีโอกาสดูหนังเรื่องนี้สักทีครับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกี่ยวกับอะไร เพราะว่าผมเห็นว่ามันเป็นหนังภาพขาวดำครับ แค่นั้นผมก็ปิดใจไปแล้ว แต่หลังจากที่มาทำรีวิวหนัง การที่ต้องดูหนังบ่อยขึ้นนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่จำเป็นครับ และ Schindler’s List ก็ได้มาอยู่ในหนังที่ผมต้องดูเพื่อเพิ่มความรู้อะไรทำนองนั้น จนท้ายที่สุดทาง Netflix ก็ได้นำหนังเรื่องนี้เข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อนครับ ก็เลยมีโอกาสได้ดู ถ้าเกิดว่าใครอยากดูก็สามารถไปหาดูได้ทาง Netflix เลยนะครับ ถ้าเกิดว่ายังหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องดูหนังเรื่องนี้ลองอ่านรีวิวนี้ให้จบเพื่อจะช่วยได้นะครับ Schindler’s List เป็นหนังที่จะเล่าถึงชะตากรรมของชาวยิวที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับและชายชาวเยอรมันคนหนึ่งได้พยายามทำบางสิ่งเพื่อจะช่วยเหลือชาวยิว ซึ่งเรื่องย่อที่ผมจะเล่าให้ฟังเนี่ยก็มีแค่นี้แหละครับ เพราะว่าสิ่งที่ผมรู้ก่อนดูก็มีแค่นี้เท่านั้นเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ มีชาวยิวเสียชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้อย่างเป็นระบบ ถึง 6 ล้านคนครับ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าก่อนจะดูหนังเรื่องนี้ตัวผมเองรู้ข้อมูลของเรื่องราวนี้เป็นอย่างดีในระดับนึงเลยล่ะครับ เพราะว่าดูสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเยอะ ดูหนังมาก็หลายเรื่อง มันทำให้ผมเนี่ยเกิดคำถามก่อนจะดูหนังเรื่องนี้ครับว่า ในเมื่อเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ภาพก็เคยเห็น วีดีโอก็เคยดู แล้วหนังเรื่องนี้มันจะยังทำให้เรารู้สึกแย่กับหนังเรื่องนี้ได้อีกไหม ซึ่งคำถามนี้ผมก็ได้คำตอบตอนที่ดูจบก็คือ ไม่สามารถทำได้ครับการที่เรารู้มันไม่ได้แปลว่าเราจะได้สัมผัสหรือว่าเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นครับ แต่ว่าหนังเรื่องนี้สามารถทำแบบนั้นได้แล้วก็ทำได้ดีมาก ๆ ครับ ขอสารภาพเลยว่าร้องไห้ไปไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ในช่วงเวลา 3 ชั่วโมง 15 นาทีของหนังเรื่องนี้ ซึ่งในระหว่างที่คุณดู คุณจะได้สัมผัสความรู้สึกทั้งความหดหู่ โศกเศร้า ซาบซึ้ง ลุ้นระทึก เอาใจช่วย ความสิ้นหวัง ความโหดร้ายและความดี Steven Spielberg ครับ ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ จะถ่ายทอดเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์ครับ มันไม่ได้เหมือนกับสารคดีที่จะบอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาเนี่ยจะเล่าผ่านตัวละครที่มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง มีชื่อ เป็นคนที่เราต้องเอาใจช่วย แต่ละกลุ่มคนที่เราคนดูก็อยากให้รอด แต่สิ่งเดียวที่เราทำได้ มีเพียงอย่างเดียวครับ คือเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราทำได้แค่นั้นครับ แต่Schindler’s List ไม่ได้พูดถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว ความดีและความหวังก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้นั้นพูดถึงครับ ชายชาวเยอรมันที่ชื่อว่า Schindler คนนี้ จะทำอะไรและทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือชาวยิว และชะตากรรมของเขาท้ายที่สุดจะเป็นยังไง ผมอยากให้ทุกคนได้ไปดูในภาพยนตร์ครับ ด้วยบทนี้แสดงโดย Liam Neeson ครับ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าผมทราบอยู่แล้วครับว่า แกเนี่ยเป็นนักแสดงระดับเทพอีก1 คน แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องไหนที่แกแสดงและผมเนี่ยรู้สึกทึ่งกับการแสดงของแกเลยครับ จนกระทั่งได้ดูหนังเรื่องนี้นั่นเอง และนอกจากการแสดงของนักแสดงนำแล้ว นักแสดงสมทบหรือแม้แต่ตัวประกอบทุกคนภายในเรื่องก็ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างสุดยอดมาก ๆ ครับ ในอีกส่วนหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ภาพ นั่นเองครับ ทุก ๆ ซีน ทุก ๆ ฉาก แล้วก็การตัดต่อ ไม่ว่าคุณจะรู้เรื่องเทคนิคเกี่ยวกับภาพยนตร์มากน้อยแค่ไหน คุณก็จะรู้ครับว่ามันสวยงามมากจริง ๆ และเมื่อองค์ประกอบทั้งหมดมารวมกัน ทั้งภาพ เรื่องราว การแสดงและดนตรี ผลลัพธ์ของมันก็คือความทรงพลังในการถ่ายทอดอารมณ์สู่คนดูนั่นเองครับ ดังนั้นอย่างที่ผมบอกครับ มีเหตุผลมากมายที่เราจะไม่ดูหนังสักเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยครับที่เราจะไม่ดูหนังเรื่องนี้ ในหนังเรื่องนี้นะครับก็ทำให้เหตุผลในการรีวิวหนังของผมมันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่าผมอยากจะแนะนำหนังดี ๆ ให้กับทุกคนได้ดูครับเพราะผมเชื่อเหลือเกินว่าคนที่ชอบดูหนังทุกคนนั้นจะมีความสุขเสมอเมื่อได้ดูหนังดี ๆ สักหนึ่งเรื่องและตัวผมเองก็มีความสุขมาก ๆ เลยล่ะครับที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมก็เลยอยากจะส่งต่อความรู้สึกนี้ให้กับทุกคนด้วยนะครับ ดูได้แล้ววันนี้ทาง Netflix อย่าลืมไปดูกันนะครับ ผมอยากให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้มากจริง ๆ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ ขอขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก Official Trailer Youtube