Movie ReviewThe Pig, the Snake and the Pigeon ชั่ว เลว เหี้ยม (2023)เข้มข้นสุดเร้าใจเมื่อความดุเดือดรุนแรงมาพร้อมความกวนและเก๋าที่ละเมียดละเลียดเล่าตามสไตล์จึงได้งานที่ดูสนุกทุกนาทีว่ากันว่าอดีตคือเครื่องชี้วัดปัจจุบันและปัจจุบันเป็นผลมาจากอดีตเพราะอดีตจะติดอยู่ในความทรงจำไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้มนุษย์ได้หยิบเอามารำลึกในวันหนึ่งของชีวิต แน่นอนการดูหนังเพื่อความบันเทิงก็คือความทรงจำที่ติดอยู่ในลิ้นชักของมนุษย์ผู้หลงไหลในศาสตร์และศิลปะที่เรียกว่าภาพยนตร์ แล้วสำหรับคนชอบดูหนังแล้วความทรงจำจะมีสองอย่างคือหนังที่ประทับใจจนลืมไม่ลงไม่จำเป็นว่าหนังเรื่องนั้นเป็นหนังคุณภาพระดับไหน อีกอย่างคือหนังที่ดูแล้วเป็นความทรงจำที่ย่ำแย่นั่นคืออาจจะต้องใช้ความอดทนในการดูอย่างหนักและแน่นอนคุณภาพหนังก็ไม่เกี่ยว เช่นเดียวกับผู้เขียนที่มีอดีตที่สวยงามกับหนังจีน (ฮ่องกง) ยุค 90 มากมายจนกลายเป็นโหยหาและไม่สามารถหามาทดแทนได้ในช่วงหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังจีนแผ่นดินใหญ่ที่ทำให้เสน่ห์ความเป็นหนังฮ่องกงถูกกลืนหายไปในหนังที่พูดภาษาจีนนั้น ทว่าหากต้องการสัมผัสอารมณ์ที่ถวิลหานั้นผู้เขียนกลับสามารถหาได้จากหนังไต้หวันที่ปัจจุบันผู้เขียนกลายเป็นว่าเห็นหนังไต้หวันไม่ได้จำต้องลงคิวไว้รอดูเช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ได้อารมณ์นั้นเต็มที่เฉินกุ้ยหลิน (อีธาน หรวน) นักเลงหัวไม้ที่สร้างชื่อด้วยการถล่มระดับหัวหน้าแก๊งจนตายและในงานศพนั้นเขาก็สร้างชื่ออีกครั้งด้วยการกระหน่ำกระสุนใส่ระดับหัวหน้าอีกคน แต่เมื่อหนีออกมาเฉินกุ้ยหลินต้องมาเจอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพันธ์หมาบ้าเฉินฮุ่ย (ลีลี เรน) ที่ไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละและในการฟาดปากกันนั้นเจ้าหน้าที่เฉินฮุ่ยต้องเสียตาไปหนึ่งข้างและเฉินกุ้ยหลินหนีไปได้ สี่ปีต่อมาเฉินกุ้ยหลินได้รับข่าวร้ายสองเด้งเมื่อจางกุ้ยฉิง (เชอรี่ สวี) หมอที่รับงานรักษาพวกนักเลงได้ติดต่อมาว่าไหนไน่ของเขากำลังจะไปยมโลกคือเด้งที่หนึ่ง ส่วนเด้งที่สองคือเขาเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่อีกไม่เกินหกเดือนจางกุ้ยฉิงจึงขอให้เขาไปมอบตัวและเขาก็ทำตามคำขอนั้นโดยที่ย่าของเขาซื้อนาฬิกาสีชมพูรูปหมูไว้ให้ดูต่างหน้าก่อนไปพบยมบาลหนึ่งเรือน ทว่าเมื่อถึงโรงพักเฉินกุ้ยหลินกลับพบว่ามีอาชญากรตัวกลั่นอยู่สามหน่อที่ทางการไต้หวันต้องการมากที่สุดแต่เขาดันเป็นอันดับสาม อย่ากระนั้นเลยก่อนตายด้วยมะเร็งก็ขอลองเสี่ยงชีวิตด้วยการพิชิตเป็นอันดับหนึ่งเพื่อฝากชื่อให้ลือลั่นสักหน่อยจะเป็นไรไปไอเดียเริ่ดสะแมนแตนเริ่มต้นได้อย่างเข้มขลังและมีพลังโดยแยกกันเล่าในโทนต่างกันแต่มีเป้าหมายเดียว ถ้าว่ากันที่ไอเดียจัดว่าบรรเจิดเริ่ดสะแมนแตนที่ภาษารุ่นผู้เขียนอาจเรียกว่าจ๊าบ ใครมันจะไปคิดว่าการที่จอมยุทธอันดับสามที่จะก้าวข้ามอันดับก่อนหน้าเพื่อมาเป็นหนึ่งในไต้หล้าจะมาจากวงพวกนักเลงที่ไม่ใช้เพลงยุทธหรือมาจากยุทธจักรนิยาย แต่มาในความเป็นหนังดราม่าอาชญากรรมเน้นๆที่ว่าด้วยเรื่องของคนชั่วและคนที่ชั่วกว่าเป็นขั้นบันไดโดยเปรียบเทียบชัดคือหมูก็คือเฉินกุ้ยหลิน ส่วนอสรพิษก็คืออาชญากรเจ้าของฉายาคนฮ่องกงที่มีรอยสักรูปงูและนกพิราบก็คืออาชญากรจอมชั่วอีกหนึ่งที่แฝงตัวไต้ฉากหน้าความศรัทธาโดยมีนกพิราบเป็นสัญลักษณ์ และหนังก็เล่าออกมาเป็นสามส่วนคือส่วนแรกคือแนะนำหมูด้วยความเป็นหนังแกงสเตอร์ยุค 90 ดีๆจากฮ่องกงก่อนที่จะมาดุ เดือด ดิบจนอารมณ์ดำดิ่งไปกับอสรพิษเมื่อหมูจะมาเด็ดหัว ส่วนสุดท้ายนกพิราบที่เสนอตัวเป็นงานทริลเลอร์จิตวิทยาแบบลุ้นๆที่อาจเหมือนเล่าคนละโทนแต่เป้าหมายคือความชั่วปะทะชั่วกว่าที่เดินหน้าไปอย่างเข้มขลังตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมแต่ละเมียดละเลียดเล่าอารมณ์จึงมาเต็ม กระนั้นเมื่อนี่คือหนังไต้หวันจะมีความต่างคือจะไม่โฉ่งฉ่างแต่เลือกเล่นกับอารมณ์ที่อาจเป็นเส้นตรงไปบ้างเพราะไม่มีอะไรพลิกผันเหนือความคาดหมาย แต่ในความเป็นหนังในแบบไต้หวันนั้นสิ่งที่เป็นเสมอคือความสามัญที่เล่าเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นอย่างเรื่องของอสรพิษก็เป็นเรื่องของการกดขี่ทางเพศและหญิงสาวที่ต้องการจะหลุดพ้น ส่วนนกพิราบคือพวกชั่วที่ใช้ความศรัทธาของคนมาแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนว่าผลกระทบคือคนอื่นจะเป็นอย่างไร แล้วเมื่อถูกเล่าในแบบละเมียดละเลียดเล่าที่ถ้าเป็นทางฝั่งฮ่องกงจะเดินหน้าแล้วฆ่ามันจบได้ภายในชั่วโมงครึ่งแต่ไต้หวันเล่าเหมือนหนังสามเรื่องร้อยเรียงกัน สิ่งที่ตามมาคือความชั่วที่ตัวพระเอกเป็นยังอาจน้อยกว่าความชั่วที่ได้เห็นจากอีกสองคนที่จะต้องโดนจัดการนั่นหมายความว่าคนดูรู้ทั้งรู้ว่าพระเอกก็ไม่ใช่ว่าดีแต่สิ่งที่เขาทำมันผลของมันไม่น่ารังเกียจเท่า จนเมื่อถึงเวลาคนดูก็คู่ควรจะสะใจสมใจเพราะไอ้ที่ว่าชั่วมันก็ชั่วจนเกินจะทนเพราะอารมณ์ถูกเก็บเกี่ยวจนคุกรุ่นเต็มที่แล้วอัดความดุเดือดรุนแรงมาพร้อมความกวนแบบเก๋าๆให้ได้ยิ้มมุมปากก่อนปิดฉากอย่างมีหัวใจ แม้ว่าในส่วนของการเล่าเรื่องที่แยกส่วนกันชัดเจนสามโทนจะเนียนๆไร้รอยต่อทอเต็มผืนสามารถเชื่อมโยงกันได้และมีจุดขายที่ชัดเจนต่างกันแต่ยังมีบ้างที่เป็นรอยแผลเพราะการเล่าเรื่องแบบนี้เป็นเหตุ นั่นคือความต่อเนื่องของเรื่องที่ต้องการเก็บไว้ตอนท้ายคือเรื่องของหัวใจที่การหายไปของตัวละครและความต่อเนื่องเรื่องความสัมพันธ์มันไม่มีเลยกลายเป็นเมื่อถึงเวลายังจับใจได้ไม่พอแต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่สิ่งเหล่านั้นถูกชดเชยด้วยการเล่าเรื่องแบบมีสัมผัสนอกสัมผัสในในความต่างของแต่ละเรื่องนั่นคือความมันส์ลุ้นระทึกในทางตำรวจไล่ล่าผู้ร้ายตอนต้น ก่อนจะมาดำดิ่งกดดันโหด ดุเดือด ดิบ อัดกันเลือดสาดในช่วงกลางและมาเล่าแบบชวนน่าสงสัยไขปริศนาให้ลุ้นก่อนที่กระสุนจะกระจายที่ได้อารมณ์อย่างยิ่งในตอนท้าย ทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกันด้วยความเก๋าในการเล่าเรื่องที่มาพร้อมความกวนนิดๆที่จะเล่าให้ผู้ร้ายกลายเป็นฮีโร่ก่อนที่จะลงท้ายที่ว่าต่อให้จัดการพวกชั่วกว่าแต่ผลของอาชญากรรมก็ใช่ว่าจะหนีมันพ้นตั้งใจมาแสดงเอามันส์เลยเห็นความสนุกในตัวละครที่อาจหม่นและดำมืดแต่ก็ยังได้ใจ เรื่องนี้คือเดินหน้าไปอย่างเมามันไม่เหลียวหลังมามองเลยว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังไม่ว่าเรื่องอะไรคือเดินหน้าไปหาบทสรุปแบบแทบลืมหายใจกันไปข้าง ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังมีพลังคือการแสดงที่ทรงพลังกับมาดซองมอยไม่สนความหล่อของอีธาน หรวนจิงเทียน ด้วยไอเดียที่เริ่ดในการสร้างตัวละครทำให้การแสดงของเขาออกมาเหมือนมาเล่นเอามันส์คือสนุกไปกับการรับบทเป็นเฉินกุ้ยหลิน เพราะบทของเขาอาจดูก้ำกึ่งระหว่างฉลาดกับโง่เป็นตัวละครสีดำสนิทแต่ด้วยมาดกวนๆที่ไม่ถึงกับปั่นแต่ความคิดความอ่านมันกวนดีแท้ นั่นทำให้ต่อให้ไม่ผลักหัวใจคนดูไปสุดทางคนดูก็เอาใจช่วยให้จัดการกับพวกชั่วอีกสองคนที่รับบทได้อย่างชั่วสุดติ่งโดยเบน หยวนเจ้าของฉายาคนฮ่องกงเจ้าอสรพิษและเฉินอี้เหวินเจ้าของฉายาหัวกระทิงเจ้านกพิราบ ที่น่าเสียดายคือกิงลี่ หวังกับลีลี เรนที่เป็นส่วนสำคัญในตอนท้ายที่บทหนังเหมือนปล่อยปละละเลยไปจนทำให้เมื่อถึงเวลามันไม่จับใจได้ดังต้องการทั้งที่มีช่องให้เล่นมากมายแม้หนังจะมีอะไรเป็นรอยแผลประปลายแต่ยังไม่วายเป็นงานที่ดูสนุกทุกนาทีเพราะมีรสสัมผัสที่ใช่ ก็ใช่ที่หนังมีข้อบกพร่องอยู่ในตัวถ้ามองให้ละเอียดแต่เมื่อหนังออกมาดสนุกใครจะไปสน ซึ่งในส่วนความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคือหนังไต้หวันจะมีรสสัมผัสของหนังฮ่องกงยุค 90 ที่ถวิลหาทั้งงานด้านภาพและชั้นเชิง เพียงแต่บทหนังไต้หวันจะค่อนข้างละเอียดและแข็งแรงกว่าทำให้ถ้าว่ากันที่ความตื่นเต้นเร้าใจที่ฉากหน้าอาจไม่เท่าแต่ถ้าว่ากันที่อารมณ์กลับกินขาด และเรื่องนี้เองที่อารมณ์สามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจลุ้นระทึกเอาใจช่วยไปสุดทางจนอาจเรียกได้ว่าสนุกทุกนาที ด้วยความที่เล่าเหมือนเป็นสามส่วนที่โทนเรื่องต่างกันจึงเหมือนเป็นการดูหนังสั้นสามเรื่องหรือเป็นหนังเรื่องเดียวกันสามภาคต่อกันความรู้สึกมันเลยต่าง แน่นอนหนังยังมีบางอย่างที่ซ่อนไว้ที่เป็นความพลิกผันชั้นดีแต่เอาจริงก็ไม่ได้ยากต่อการคาดเดาว่าอะไรเป็นอะไรเพียงแต่เป้าประสงค์ข้างหลังต่างหากที่แยบยลกว่าเมื่อการยิงนกนัดเดียวกลับได้นกถึงสามตัวอย่างที่จางกุ้ยฉิงบอกกับเฉินกุ้นหลินในตอนท้าย ส่วนเป้าประสงค์ของเฉินกุ้ยหลินที่จะฝากชื่อให้ระบือไกลเป็นที่จดจำก็นับว่าสัมฤทธิ์ผลเพราะเชื่อเถอะว่าเมื่อท่านดูจบท่านจะจำชื่อเฉินกุ้ยหลินและหน้าเขาอย่างขึ้นใจดูไปบ่นไปของคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4,5 / ภาพที่ 6,7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram thepigthesnakeandthepigeon ถ้าคุณชอบหนังไต้หวัน คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/BbAQoABpA5Kb https://entertainment.trueid.net/detail/e8pQKNrM394Z https://entertainment.trueid.net/detail/NOW9lo6Q7AK4 https://entertainment.trueid.net/detail/N3E61k7z882vจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !