ฟังจากชื่อหนังน่าจะเป็นหนังแอคชั่นที่บู๊ล้างผลาญ เพราะความหมายของมันคือ…..การเผา แต่พอได้ดู ก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่ นี่คือหนังดราม่าที่ออกแนวอาร์ทและเล่นกับจิตใจของมนุษย์ หนังเริ่มต้นจาก “ลีจงซู” ชายหนุ่มผู้เพิ่งเรียนจบจากมหาลัย เขามีความฝันอยากเป็นนักเขียน แต่เขาไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร เขาจึงได้แต่ทำงานพาร์ทไทม์ไปวันๆ อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ไปพบกับ “ชินแฮมี” หญิงสาวที่เคยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน จงซูยอมรับว่าเขาจำแฮมีไม่ได้ เพราะแฮมีไปทำศัลยกรรมมา ด้วยความที่ทั้งสองมีบางสิ่งที่ใกล้เคียงกัน เลยทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน แต่ก็เรียกว่าคนรักไม่ได้ เวลาต่อมา แฮมีได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่แอฟริกา เธอฝากให้จงซูดูแล “บอยล์” แมวที่เธอเลี้ยง โดยจงซูต้องคอยเอาน้ำและอาหารไปวางไว้ในห้องพักของเธออาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งจงซูก็ปฏิบัติตามคำขอของแฮมีอย่างเคร่งครัด วันเวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ แฮมีก็ได้โทรมาหาจงซู แฮมีบอกว่าเธอกำลังเดินทางกลับเกาหลีใต้ ขอให้จงซูช่วยขับรถมารับ ซึ่งจงซูก็ยินดีที่จะทำตาม แต่ในวันที่เจอกับแฮมี จงซูก็พบว่าหญิงสาวได้มากับหนุ่มหล่อที่ชื่อ “เบ็น” แฮมีแนะนำให้ชายหนุ่มทั้งสองรู้จักกัน จงซูพบว่าความสนิทสนมของแฮมีและเบ็นเข้าขั้นลึกซึ้งจนเรียกว่าคนรักได้อย่างไม่ยาก จงซูยอมรับว่าเขาเป็นรองเบ็นทุกประตู ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพ ฐานะทางสังคมและการเงิน เขาจึงทิ้งความอาลัยที่มีต่อแฮมีและยอมถอยออกมาหนึ่งก้าว แต่ในใจกลับนึกกังวลตัวตนที่ลึกลับของเบ็น ขณะที่จงซูกำลังเดินในเส้นทางของตัวเอง เบ็นและแฮมีก็มาเยี่ยมจงซูที่บ้านไร่ พวกเขาสังสรรค์กัน ช่วงที่แฮมีเมาจนหลับ สองหนุ่มก็ได้เปิดใจ จงซูเล่าเรื่องอนาถของตนเองให้เบ็นฟัง จงซูเล่าว่าพ่อและแม่ของเขาแยกทางกัน เพราะพ่อเป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบทำร้ายแม่ ในวันที่แม่ทิ้งไป พ่อได้สั่งให้เขาเผาเสื้อผ้าของแม่ เบ็นเองก็เล่าให้จงซูฟังว่าตัวเขาเองก็ชอบเผาเหมือนกัน โดยเขาเลือกเผาโรงเพราะชำร้าง เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสนใจ ที่มาเยี่ยมจงซูก็มีแผนที่จะมองหาโรงเพราะชำร้าง เพื่อเผาตามประสงค์ และเขาก็มองเห็นเป้าหมายแล้ว มันอยู่ใกล้กับจงซูมาก แฮมีฟื้นคืนสติในช่วงพลบค่ำ ขณะที่เธอกำลังกลับบ้าน จงซูได้เข้าไปตำหนิแฮมีอย่างรุนแรง เพราะแฮมีดันไปเปลือยกายต่อหน้าสองหนุ่มในตอนที่เมา ทันทีที่ได้ยิน แฮมีก็นิ่งเงียบและขึ้นไปนั่งบนรถปอร์เช่ของเบ็น จงซูรู้สึกว่าตนพูดแรงเกินไป จึงพยายามเข้าไปหาและถ่วงเวลาด้วยการอาสาเบ็นว่าตนจะหาโรงเพราะชำร้างให้ เบ็นยิ้มรับและกล่าวขอบคุณ หลังจากวันนั้น จงซูก็พยายามตามหาแฮมี แต่แฮมีกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ครูฝึกละครใบ้ที่แฮมีเคยไปเรียน ล้วนไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน จงซูจึงจำต้องไปหาเบ็น ทันทีที่จงซูพบเบ็น เขาก็พบว่าแฮมีก็หายไปจากชีวิตของเบ็นเช่นกัน จงซูจึงถามถึงโรงเพราะชำร้างที่เบ็นต้องการเผา เบ็นตอบว่าตนได้เผาไปแล้ว และสาเหตุที่จงซูไม่รู้ว่าโรงเพราะชำที่เบ็นเผาอยู่ที่ไหน เพราะโรงเพราะชำนั้นอยู่ใกล้จงซูมาก บางครั้งมนุษย์ก็มองของที่อยู่ใกล้เกินไปไม่เห็น จงซูรู้สึกตงิดใจกับการกระทำและคำพูดของเบ็น เขาจึงลอบตามเบ็นไปทุกที่ มีอยู่ครั้งหนึ่งจงซูได้เข้าไปในงานสังสรรค์ที่อพาร์ทเม้นท์ของเบ็นโดยบังเอิญ จงซูได้พบกับบางสิ่งที่อยู่ในตู้เก็บของ นั่นก็คือนาฬิกาสีชมพูที่จงซูเคยให้แฮมี แถมแมวที่เบ็นเลี้ยงก็จดจำตัวเองในชื่อ “บอยล์” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับแมวของแฮมี ทุกสิ่งที่จงซูได้พบและพฤติกรรมของเบ็น ทำให้จงซูเข้าใจว่าเบ็นได้ฆาตกรรมแฮมีและเผาทำลายหลักฐาน จงซูจึงแกล้งหลอกเบ็นให้มาพบที่ชานเมือง จากนั้นเขาก็ฆ่าและเผาศพของเบ็นไปพร้อมกับรถปอร์เช่คันงาม หลังดูหนังจบ หลายคนคงคิดว่าเบ็นนั่นแหละที่เป็นฆาตกรและนึกสะใจที่กรรมตามทัน แต่ผมกลับมองในมุมตรงข้าม เพราะหนังเรื่องนี้เป็นแนวปมเปิด ไม่มีการเฉลยอะไรให้เห็นอย่างชัดเจน ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปได้หมด มีหลายจุดที่บอกว่าแท้จริงแล้ว แฮมีก็แค่หนีไป อาทิเช่นตอนท้ายเรื่องจงซูได้หลอกให้เบ็นมาหา โดยอ้างว่าเจอโรงเพราะชำร้างที่เหมาะสมและได้ชวนแฮมีให้มาร่วมเผาด้วย ถ้าเบ็นเป็นฆาตกรที่ฆ่าแฮมีจริง เบ็นก็ควรฉุกคิดว่าจงซูหลอกเขาและต้องระวังตัวมากกว่านี้ แต่นี่เบ็นมาตัวเปล่าแบบไม่มีอะไรเลย ทำให้น่าเชื่อว่าเบ็นคงคิดว่าจงซูจะมาพร้อมแฮมีโดยสุจริตใจ แต่ประเด็นสำคัญจริงๆ น่าเป็นเรื่องความเหมือนในตัวละครหลักทั้งสามมากกว่า ความเหมือนนั้นก็คือ…ความเหงา พวกเขาล้วนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในรายของจงซูนั้นเห็นได้ชัดเจนที่สุด พ่อแม่แยกทางกัน พี่ชายก็แยกบ้านไปมีครอบครัว เขาไร้เพื่อนและไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เพราะเขาอยากเป็นนักเขียน แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าตนควรเขียนอะไร ส่วนของแฮมี แม้เธอจะดูสนุกสนานร่าเริง แต่เธอก็เป็นอีกคนที่ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเพื่ออะไร เธอจึงกระหายที่จะตามหาความหมายของชีวิตด้วยการใช้ชีวิตแบบสุดๆ ทำให้เธอดูเป็นคนเหลวแหลก ไม่มีใครเข้าใจเธอเลย เบ็นเป็นคนที่ดูออกยากที่สุด ถ้าไม่พยายามเข้าไปในจิตใจของเบ็น ก็จะไม่รู้เลยว่าเบ็นเป็นอีกคนที่เหงาแบบสุดๆ ทุกสิ่งที่เบ็นเป็น มันก็แค่เปลือกที่ว่างเปล่า เบ็นเป็นคนที่ค่อนข้างไร้อารมณ์ ไม่มีคนที่คอยห่วงหาอย่างจริงใจ เขาจึงรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ระหว่างจงซูและแฮมี เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาตามหามาอย่างยาวนาน ในตอนท้ายของเรื่อง เขาได้กอดจงซูเอาไว้แน่น เป็นความหมายว่าเขาไม่อยากตายอย่างเดียวดาย เขาอยากอยู่ในอ้อมกอดของใครซักคนก่อนจะลาโลกนี้ บอกตามตรง แม้ผมจะรับรู้ถึงความเหงาของตัวละครหลักทั้งสาม แต่ผมก็ไม่อาจเข้าถึงแก่นได้อยู่ดี เพราะผมมีครอบครัว เพื่อน พี่น้อง ญาติมิตรที่ดี จึงห่างไกลกับความเหงาโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเอาไปใช้ได้ นั่นก็คือ…..การคิดบวก ไม่ว่าใครก็ต้องเคยรู้สึกเหงาและถูกทอดทิ้งกันทั้งนั้น ถ้าพวกเรามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ มันก็จะบั่นทอนเรา ทำให้เราบิดเบี้ยวแบบตัวละครในหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดซะใหม่ล่ะ อาทิเช่นยามที่พ่อแม่แยกทางกัน ไม่สนใจเรา เราก็ควรคิดว่าพ่อแม่ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีปัญหาของตนเอง ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อแม่ที่มีบุญคุณกับเราอย่างมากมาย เราควรตอบแทนเขาด้วยการช่วยเหลือพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นยังไง หรือถ้าเราไม่เข้าใจว่าตนควรอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เราก็ควรเดินทางตามหาบางอย่างที่มีความหมายต่อชีวิต ไม่ใช่ดำดิ่งไปในเส้นทางที่มืดมิด เพราะเส้นทางสายนั้นไม่ทำให้อะไรงอกงามขึ้นมาเลย บางทีถ้าเราเย็นชา ไม่ค่อยรับรู้ถึงอารมณ์ ทำไมเราไม่พยายามเปิดใจของตัวเองให้คนอื่นรับรู้มากขึ้น เพราะถ้าเราอยากได้ความจริงใจจากผู้อื่น เราก็ควรแสดงความจริงใจออกมาก่อน แบบนี้มันน่าจะดีกว่าการทำอะไรโลดโผน เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นนะ สุดท้ายผมอยากอวยพรให้ทุกคนผ่านทุกปัญหาของตัวเอง ผมเชื่อว่าถ้าเราคิดแต่สิ่งดีๆ มันจะทำให้เราจัดการทุกเรื่องที่เข้ามาได้อย่างสวยงามและถูกต้อง ถ้าทุกคนทำได้ โลกเราสงบสุขแน่ ผมเฝ้าฝันให้เห็นวันนั้นจริงๆ คะแนนของหนังเรื่องนี้เนื้อเรื่อง ในส่วนของเนื้อเรื่อง ผมคิดว่ามันค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะมีการผูกเรื่องที่สอดคล้อง คาแรคเตอร์ของตัวละครค่อนข้างชัดเจน มีการแฝงแง่คิดเอาไว้อย่างแยบยล แม้มันจะเป็นแนวปมเปิดที่เป็นไปได้หลายทาง แต่ถ้าดูให้ดีก็จะเห็นเจตนารมณ์ของผู้แต่ง ดังนั้นคะแนนในด้านนี้ ผมขอให้สูงหน่อย รับไปเลยครับ 9.5 ภาพ เป็นอีกจุดที่ค่อนข้างเด่น มีการเล่นมุมกล้องหลากหลายแบบ ทำให้ดูน่าค้นหา น่าติดตาม แต่เรื่องแนวนี้อาจให้ภาพที่ไม่ถูกใจผมนัก ขอให้ตามอารมณ์ก็แล้วกัน คะแนนคือ 8.0 เอฟเฟค ยอมรับว่านี่ไม่ใช่จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ เพราะมันไม่มีฉากหวือหวา โลดโผน แถมซาวด์ที่นำมาใช้ประกอบก็ดูเรียบและน้อยนิดจนแทบไม่มี ดังนั้นผมขอให้แค่พอใช้ นั่นก็คือ 6.0 นักแสดง การแสดงดูเรียบเฉยและแข็งๆยังไงชอบกล ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะแนวของหนังหรือเปล่า หนังแนวนี้อาจเน้นหนักไปที่การสื่อสารทางสีหน้าและแววตา ประกอบกับเรื่องราวมันสะท้อนไปถึงความเย็นชาของสังคม เลยทำให้บกพร่องในด้านการแสดงอารมณ์ไปบ้าง ดังนั้นเราจะไปโทษนักแสดงอย่างเดียวก็คงไม่ถูก อาจเป็นเพราะผมไม่เข้าใจศาสตร์ของหนังแนวนี้ ผมเลยไม่เชื่อในบทบาทของนักแสดง กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้แสดงแข็งเป็นหุ่น ผมจึงตัดเกรดที่ปานกลาง 6.5 ครับ คะแนนโดยรวมคือ 7.5 จัดว่าเป็นหนังที่ดีมากสำหรับผู้ที่ชอบมองหาความหมายของชีวิต แต่ถ้าใครต้องการอะไรที่ชัดเจน มีบทสรุปที่แน่นอน แนะนำว่าอย่าดูเลยครับ จะหงุดหงิดเปล่าๆ ส่วนตัวผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ดีมาก น่าเก็บสะสมในแค็ตตาล็อกของตนเอง เพราะผมเป็นอีกคนที่ชอบอะไรแบบนี้ เครดิตภาพที่ 1-6 จาก https://www.wellgousa.com/films/burning-2018