ถ้าหากพูดถึงหนังที่เกี่ยวกับเพลง เกี่ยวกับวัยรุ่น วันเรียน มิตรภาพความผูกพันและความรักแบบใส ๆ คุณผู้อ่านคงมีหนังแนวนี้ที่อยู่ในใจกันทุกคน แต่สำหรับผู้เขียนแล้วมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ประทับใจมากที่สุดและอยากจะแนะนำให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้รู้จัก นั่นก็คือ เรื่อง Pitch Perfect หรือในชื่อภาษาไทยว่า ชมรมเสียงใส ถือไมค์ตามฝัน สร้างโดยค่ายหนัง Universal ซึ่งมีทั้งหมด 3 ภาคด้วยกันนะคะ แต่ละภาคก็จะทวีความเข้มข้นขึ้นของเนื้อหาของตัวละครแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตตัวละคร การแข่งขันร้องเพลงแนว Acappella คือแนวดนตรีที่ไม่ใช้เครื่องดนตรี แต่ใช้ปากทำเป็นเสียงดนตรีแทน การดำเนินชีวิตของแต่ละตัวละคร ทำให้คนดูอย่างเราอินตามเหมือนกับโตมาด้วยกันเลยค่ะโดยในภาคแรกจะเป็นที่มาของตัวละครหลักที่ชื่อ เบก้า ( แสดงโดย Anna Kendrick ) จริง ๆ ผู้เขียนต้องบอกก่อนว่าเคยเห็นการแสดงของเธอผ่านตาอยู่แว้บ ๆ ในเรื่อง Twilight ภาคแรก คนที่รับบทเป็นประธานนักเรียนที่พูดเก่ง ๆ นั่นเอง แต่พอเธอได้มาเป็นนักแสดงหลักในหนังเรื่อง Pitch Perfect ก็ทำให้เราได้เห็นความสามารถอีกด้านหนึ่งของเธอ ก็คือการร้องเพลง และเธอก็ทำได้ดีมากด้วย จำได้ว่าเธอมีเพลงของตัวเองที่ปล่อยออกมาในช่วงปี 2013 ชื่อเพลงว่า Cups ซึ่งก็เป็นเพลงที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ในเรื่องนี้ด้วย เพลงนี้มีจุดเด่นที่เธอใช้แก้วมาใช้ประกอบเป็นเสียงดนตรีด้วยนะคะ แปลกดีแต่ก็ไพเราะไปอีกแบบขอบคุณภาพจาก Thailand's Official Page of Pitch Perfect Movieในภาคแรกนี้ ส่วนที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็คงจะเป็นตัวละครที่ชื่อเบก้านี่แหละค่ะ แรก ๆ เธอดูเป็นคนแข็ง ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ชอบอยู่ตัวคนเดียว มีโลกส่วนตัวสูง เหมือนเธอสร้างกำแพงเพื่อกันทุกคนไม่ให้เข้าถึงตัวเธอได้ แต่แล้วกำแพงนี้ก็ค่อย ๆ ถูกทำลายลง ด้วยมิตรภาพจากกลุ่มเพื่อนสาวเสียงใสคณะประสานเสียงวง บาร์เดน เบลลาส์ ทุกคนผูกพันกันด้วยการร้องเพลงที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เวลาที่พวกเธออยู่ด้วยกันและร้องเพลงด้วยกัน ผู้เขียนรู้สึกชอบเสียงที่ประสานจนเข้ากันได้อย่างลงตัวของพวกเธอมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ทำให้เพลง ๆ นั้นไพเราะขึ้นอีกหลายเท่าตัวเพลงแต่ละเพลงในเรื่องนี้ก็เป็นเพลงที่เราอาจจะคุ้นหูกันอยู่แล้วด้วยนะคะ สำหรับคนวัย 30 อัพจะยิ่งคุ้นมากเลยแหละบางเพลงนะ และก็ยังมีเรื่องรักกุ๊กกิ๊กน่ารักของเบก้า กับหนุ่มเสียงดีอย่างเจสซี ( แสดงโดย Skylar Astin ) เจสซีอยู่คณะประสานเสียงชายล้วนในมหาลัยเดียวกัน เขาตกหลุมรักเบก้าตั้งแต่แรกพบ แต่ก็น่าสงสารเจสซีนะคะช่วงแรก ๆ เบก้าไม่ค่อยเปิดใจให้เลย ด้วยความที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวานน่ารักขนาดนั้น พูดก็พูดนะคะ ตัวละครอย่างเจสซีเนี่ย เป็นผู้ชายที่นิสัยน่ารักมากเลยนะ เป็นผู้ชายที่ดูแลเอาใจใส่ ดูอบอุ่นอ่ะ อีกอย่างเขาชอบดูหนังมากด้วย ในเรื่องจะเห็นได้ว่าเจสซีพยายามจะเข้าหาเบลล่าโดยการชวนดูหนังด้วยกันตลอดเลย ตัวละครของเจสซีก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดของเบก้า ทำให้เธอลดกำแพงที่กันคนอื่นลงไปได้เยอะเลยค่ะ สุดท้ายแล้วเบก้าจะเปิดใจให้กับเจสซีหรือไม่ ไปติดตามกันต่อได้ในหนังเลยจ้ามาต่อกันที่ภาค 2 ในภาคนี้จะมีตัวละครเข้ามาใหม่ เป็นรุ่นลูกของทายาทวงเบลลาส์ เธอคนนี้คือ เอมิลี่ ( แสดงโดย Hailee Steinfeld ) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากของวงเบลลาส์ จุดเปลี่ยนที่สำคัญนี้ ถือเป็นการไปสู่อีกขั้นหนึ่งของวง เพราะตัวละครอย่างเอมิลี่ ที่มาพร้อมกับพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ช่วยทำให้เบก้านั้นสานฝันตัวเองสำเร็จ ในการมีเพลงเป็นของตัวเองเพลงแรก และเป็นครั้งแรกที่วงประสานเสียงใช้เพลงที่แต่งขึ้นมาเองเป็นต้นฉบับในการประกวดการแข่งขัน ซึ่งเพลงที่ใช้ในภาคนี้ก็เป็นเพลงโปรดของผู้เขียนและอาจจะเป็นเพลงโปรดของคุณผู้อ่านหลาย ๆ คนด้วยเช่นกันนะคะ นั่นก็คือเพลง Flashlightและสิ่งที่ผู้เขียนชอบที่สุดในภาคนี้ก็คือ การที่ทุกคนในวงดูเหมือนจะลืมความเป็นเบลลาส์ไปแล้ว อาจจะด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ต่างคนต่างที่กำลังจะเติบโตไปมีหนทางชีวิตของตัวเอง ทำให้โฟกัสกับวงน้อยลง แต่สุดท้ายพวกเธอก็ค้นหาเสียงของตัวเองจนเจอ เสียงร้องของเบลลาส์จึงกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ทำให้เราได้ข้อคิดดี ๆ จากหนังในภาคนี้ นั่นก็คือ ถ้าหากบางครั้งเราอาจจะหลงทางไปไกล อาจจะสับสนกับหนทางของชีวิตไปบ้าง เพียงแค่เราลองหันกลับมามองที่จุดเดิม จุดที่เราเคยเติบโตมา เราอาจจะได้นึกขึ้นได้ว่า ที่เรามาเป็นเราทุกวันนี้ เรามาจากจุดไหน และเรากำลังทำอะไรเพื่ออะไร บางทีคำตอบของชีวิตก็ไม่ได้อยู่ไหนไกลเลยค่ะ อาจจะอยู่ที่จุดเริ่มต้นแค่นั้นเอง เรื่องราวของภาคนี้จะจบลงอย่างไร ไปติดตามกันต่อได้ในหนังนะคะมาต่อกันที่ภาคสุดท้ายนะคะ ความเป็นไปของภาคนี้ออกจะแปลกแตกต่างจากสองภาคที่แล้วอยู่มากหน่อยนะคะ มีฉากแอ็คชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนิด ๆ ก็ถือเป็นสีสันของเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย และการแข่งขันของวงเบลลาส์ก็ได้ก้าวมาสู่จุดสุดท้าย ก่อนที่สาว ๆ จะต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองแล้วจริง ๆ ซะที ในภาคนี้ตัวละครหลักอย่างเบก้า เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับโอกาสให้ไปต่อในวงการเพลงในฐานะของศิลปินเดี่ยว สำหรับเบก้าแล้วทุกคนในวงเบลลาส์คือครอบครัว เธอจึงหนักใจมากที่เพื่อน ๆ ในวงไม่ได้ไปต่อด้วย จนเกือบจะปล่อยโอกาสนี้ไปแล้ว ซึ่งฉากนี้เป็นฉากที่ดีมาก เพื่อน ๆ ทุกคนในวงเข้าใจและบอกให้เบก้ารับโอกาสนี้เพื่อทำตามฝันของเธอผู้เขียนชอบประโยคหนึ่งที่ว่าครอบครัวที่ดีเขาไม่รั้งเธอไว้หรอก เขาต้องผลักดันเธอเป็นประโยคที่ แฟท เอมี ( แสดงโดย Rebel Wilson ) สาวร่างใหญ่หัวใจลั้นลาเพื่อนสนิทที่สุดของเบก้าพูดเอาไว้ เป็นประโยคที่ผู้เขียนฟังแล้วก็น้ำตาไหลทุกครั้งที่ดู เพราะการที่เรามีเพื่อนที่เข้าใจและคอยสนับสนุนเราอยู่เสมอนับเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง ใครมีเพื่อนแบบนี้ต้องรักษาไว้ให้ดี ๆ เลยนะคะ ส่วนเรื่องราวของตอนจบในภาคสุดท้ายนี้ จะจบลงสวยงามแค่ไหนติดตามต่อกันได้ในหนังเลยค่ะและนี่ก็เป็นการรีวิวแบบพอหอมปากหอมคอ กับหนังเรื่อง Pitch Perfect ทั้ง 3 ภาคนะคะ ซึ่งทุกภาคก็ทำได้ประทับใจไม่น้อยไปกว่ากันเลยค่ะ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของแต่ละภาค ที่เป็นการร้องประสานเสียง เพลงที่นำมาร้องทุกเพลงในหนังเป็นเพลงที่ไพเราะมากอยู่แล้ว แต่พอนำมาร้องในแบบ Acappella ก็ทำให้น่าฟังไปอีกแบบ เป็นหนังที่ผู้เขียนดูกี่ทีก็ต้องเสียน้ำตาให้ ไม่ใช่เพราะหนังเศร้าหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะประทับใจกับความผูกพันของสาว ๆ วงเบลลาส์ ที่ผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย และสุดท้ายทุกคนก็ต่างมีหนทางของตัวเอง เปรียบก็เหมือนกับดูหนังแล้วมองย้อนดูตัวเองยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ ตอนนี้ผู้เขียนกับเพื่อน ๆ ในสมัยเรียนก็ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง บางคนมีครอบครัวแล้ว บางคนมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกเราก็ยังคงคิดถึงกันเสมอ และคอยสนับสนุนซึ่งกันและกันมาโดยตลอด หวังว่าถ้าคุณผู้อ่านได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็จะได้รับความสุขแบบที่ผู้เขียนได้รับนะคะ ขอให้สนุกกับการดูหนังเรื่องนี้ค่ะ ขอบคุณภาพ ภาพปก : Universal Pictures และ facebook.com/pitchperfect.th / Universal Pictures / Universal Pictures/ Pitchperfect.th / Pic1 : Thailand's Official Page of Pitch Perfect Movie / Pic 2 : Thailand's Official Page of Pitch Perfect Movie / Pic3 : Thailand's Official Page of Pitch Perfect Movie / Pic 4: twitter.com/PitchPerfect/ Pic 5 : twitter.com/PitchPerfect