ความสุข กับ ความสำเร็จ อะไรเกิดขึ้นก่อนกันครับ ถ้าหากเรามีห้องนอนที่หน้าตาเหมือนกับคนทั้งโลกเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเรามีความชอบและความคิดไม่เหมือนกัน งั้นคำถาม ความสุขกับความสำเร็จอันไหนเกิดก่อนกัน คำตอบคงจะต่างกันสินะครับ แต่...ความสุขกับความสำเร็จมันไม่มีอะไรเกิดก่อนเกิดหลังหรอกครับ จริง ๆ แล้วมันคือสิ่งที่เกิดมาพร้อมกันต่างหาก.... นั่งคิดคนนี้ จะมานั่งอ่านและนั่งคิดหนังสือความสุขกับความสำเร็จอะไรเกิดขึ้นก่อนกันครับ เขียนโดย Shawn Achor (ชอว์น เอเคอร์) หนึ่งในผู้เชียวชาญชั้นนำของโลกด้านศักยภาพของมนุษย์ เขาได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างความสุขกับประสิทธิภาพในการทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และเขาได้ร่วมมือกับบรรดาผู้บุกเบิกจิตวิทยาเชิงบวกในการออกแบบหลักสูตรและเป็นผู้สอนวิชา "ความสุข" ซึ่งเปิดสอนที่ "ฮาวาร์ด" และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม คะแนนสำหรับหนังสือเล่มนี้ผมให้ 10/10 ครับ เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับคนวัยทำงาน วัยเรียน จริง ๆ ผมว่ามันก็ทุกวัยเลยนะครับ เนื่องจากมันสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เลย ไม่ต้องตั้งไฟ ตอกไข่ใส่กระทะ แถมยังอ่านง่ายและเพลินสุด ๆ และผมรู้สึกว่าผู้เขียนพยายามใส่ข้อมูลที่สำคัญไว้มากจริง ๆ ไม่ได้รู้สึกเหมือนจะบอกสรรพคุณอันยาวเหยียดไปสักรอบโลกก่อนแล้วค่อยมาบอกประโยชน์ แต่บอกข้อมูลสำคัญ ๆ ออกมาให้เราได้ชื่นใจ ตลอดเล่มหนังสือเลย! ความเชื่อที่ว่า ถ้าหากคุณอยากประสบความสำเร็จคุณต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ได้มากที่สุด ถ้าหากคุณเป็นนักเรียนคุณก็ต้องอ่านหนังสือและเรียนได้ได้เกรดที่ดีที่สุด และความสุขจะตามมาเอง....ผมเองตอนเด็ก ๆ ก็เชื่อมาเช่นนี้เหมือนกันเพราะคุณแม่ก็บอก ครูก็บอก พี่ป้าน้าอาก็บอก แต่เมื่อผมได้โตมาเรื่อย ๆ และก็ได้สัมผัสกับประสบการณ์ด้วยตัวเองกลับพบว่า เราเครียด เราทุกข์กับการพยายามไม่ลืมหูลืมตากับคำว่าพยายามเพื่อที่จะให้สำเร็จ ซึ่งงานที่เสร็จแล้วเราจะรู้สึกมีความสุขแค่ชั่วครู่และจากนั้น เป้าหมายใหม่มันจะเข้ามาให้เราได้เครียดอีก พูดง่าย ๆ คือเราพยายามทำให้ตัวเองทุกข์ตลอดเวลาและหลอกตัวเองว่าเดี๋ยวก็สำเร็จแล้ว ซึ่งมันความสำเร็จที่ได้มานั้นมันทดแทนความเครียด ความทุกข์ที่เราพยายามแทบไม่ติดเลย สิ่งนี้ทำให้ผมรู้ว่า ถ้าเรามีความสุขขณะเราทำงาน มีความสุขขณะใช้ชีวิตชีวิตกับคนเพื่อน กับครอบครัว ผมรู้สึกเหมือนผมประสบความสำเร็จพร้อม ๆ กัน ถึงแม้งานผมยังไม่เสร็จก็ตาม และหนังสือเล่มนี้ก็มาส่งเสริมความคิดผมอีกที ผมอยากให้คุณซื้อมาลองดู การทำงานและชีวิตของคุณอาจจะใช้คำว่า Super productive ก็ว่าได้ หนังสือเล่มนี้นำเสนอ หลักจิตวิทยา 7 อย่างที่จะช่วยให้คุณพบกับความสุขและความสำเร็จซึ่งผู้เขียนบอกว่าทำการวิจัยมากว่า 20 กว่าปีเพื่อให้มั่นใจว่า หลักการทั้ง 7 อย่างนี้จะเพิ่มความสุขและความสำเร็จให้เราทุกคนอย่างแน่นอนกลยุทย์สุขไว้ก่อนคานและจุดหมุนปรากฎการณ์เตตริสล้มเพื่อก้าวหน้าวงกลมโซโรกฎ 20 วินาทีการลงทุนกับความสัมพันธ์1.กลยุทธ์สุขไว้ก่อน มีงานวิจัยเกี่ยวกับสุขกว่า 200 เรื่องซึ่งศึกษากับผู้คน 275,000 คนทั่วโลก เขาพบว่า "ความสุข" ช่วยให้เราประสบความสำเร็จแทบทุกด้านในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิตคู่ สุขภาพ มิตรภาพ การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การคิดสร้างสรรค์ และโดยเฉพาะด้านการงานและธุรกิจ โดยข้อมูลบอกว่า พนักงานที่มีความสุขจะทำผลงานได้มากกว่า ทำยอดขายได้ดีกว่า มีความเป็นผู้นำได้ดีกว่า ทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่า และมีได้ค่าตอบแทนสูงกว่าด้วย ถ้าที่ทำงานไหนมีซีอีโอหรือหัวหน้าที่มีความสุขก็จะทำให้ลูกน้องมีความสุขตามมาด้วย ส่งผลให้บรรยากาศในที่ทำงานเป็นสถานที่กระตุ้นให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น ความสุขช่วยให้เราทำงานได้เร็วและนานขึ้น จึงทำให้เรามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย ต่อไปนี้จะพูดถึง "กลยุกทธ์สุขไว้ก่อน" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สามารถใช้กับกิจกรรมที่เราทำในชีวิตประจำวันของเราได้ ซึ่งเหมาะสำหรับการทำงานและการเรียน เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำให้คนมีความสุขและทุกข์ไปพร้อม ๆ กันแต่ดูเหมือนว่า คนที่มีความสุขจะมีข้อได้เปรียบกว่าคนทุกข์เสียอีก ทำไมคนที่มีความสุขถึงทำงานได้ดีกว่าคนที่ไม่มีความสุข? มีผลการวิจัยพบว่าความสุขมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวิวัฒนาการ มีวิทยาศาตร์ชื่อ บาร์บาร่า เฟรดดริกสัน พบทฤษฎีที่ชื่อว่า "ทฤษฎีการขยายขอบเขตและการสร้างเสริม" ซึ่งกล่าวว่าความรู้สึกเชิงบวกไม่ได้จำกัดตัวเลือกในการตอบสนองของเราในการเลือกที่จะ สู้หรือหนี เหมือนกับความคิดลบ แต่มันทำให้เราคิดถึงตัวเลือกอื่น ๆ ที่เป็นไปได้อีก ทำให้เรารอบคอบมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ และเปิดรับความคิดใหม่ ๆ มากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า คนที่มีความสุข คือ คนที่คิดในเชิงบวกหรือมีความรู้สึกเชิงบวก ซึ่งส่งผลให้พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน วิเคราะห์เรื่องที่ซับซ้อนและแก้ปัญหาได้ดี รวมทั้งมองเห็นและสร้างวิธีใหม่ ๆ ในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ดังนั้น กลยุทธ์สุขไว้ก่อน มันคือการทำให้เราทำให้เรามีความสุขตลอดการทำงานหรือตลอดกิจกรรมของเรา โดยประโยชน์จากความสุขผมก็ได้กล่าวไปแล้วว่ามันจะเพิ่มความสามารถในการทำงานของคุณมากแค่ไหน คุณผู้อ่านลองนึกถึงตอนที่เราตัวเองมีความสุขขณะทำงานสิครับว่า เราทำได้ได้ดีแค่ไหน อย่างของผมนะครับขอยกตัวอย่างเรื่องของการเรียน ช่วงเวลาฟังอาจารย์สอนหรืออ่านหนังสือ มันจะมีช่วงที่รู้สึกว่าเบื่อหรือท้อเกิดขึ้นมา แต่ผมคิดเสมอว่า การที่เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มันทำให้เราสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในอนาคตได้ นำความรู้ไปสร้างสิ่งดี ๆ เพื่อคนช่วยอื่นได้ แค่นี้ผมก็มีความสุขตลอดการเรียนแล้วครับ คุณอาจจะประยุกต์กับการทำงานก็ได้อย่างเช่น คุณอาจคิดว่าถ้าทำงานนี้เสร็จคุณก็จะได้ดูหนังหรือจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว คุณก็จะมีความรู้สึกเชิงบวกขณะการทำงานและทำให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณจะมองเห็นตัวเลือกมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และทำงานเสร็จเร็วขึ้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คุณต้องสร้างความรู้สึกเชิงบวกก่อนการทำงาน ครับ ในบทนี้มีการเสนอกิจกรรมที่สามารถเพิ่มความสุขให้กับเราในชีวิตประจำวันด้วยครับ และผมจะบอกประโยชน์ของแต่ละวิธีที่ได้รับการพิจสูจน์จากวิทยาศาสตร์มาแล้วนะครับ มีดังนี้ครับการทำสมาธิ - การทำสมาธิเป็นประจำช่วยเพิ่มระดับความสุข ลดความเครียดได้ค้นหาสิ่งที่ตั้งตารอ - การศึกษาค้นพบว่า การได้ดูหนังที่ตัวอยากตั้งตารอ ทำให้ฮอร์โมนเอ็นโดฟีน(โฮร์โมนความสุข)เพิ่มขึ้น 27 เปอร์เซ็น ดังนั้นถ้าคุณต้องการเพิ่มความสุข การนึกถึงรางวัลที่จะได้ในอนาคตซึ่งกระตุ้นศูนย์กลางความสุขของสมองเหมือนได้รับรางวัลนั้นจริง ๆ ทำความดีด้วยความตั้งใจ - การทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นหรือคนแปลกหน้า ทำให้เราคลายความเครียดได้ และทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้นด้วยเติมพลังด้านบวกเข้าไปในสิ่งแวดล้อม - สภาพแวดล้อมส่งผลต่อความคิดของคุณ ถ้าคุณมีรูปคนรักวางไว้บนโต๊ะทำงาน มันจะทำให้คุณมีความสุขขนาดไหนเนี่ยออกกำลังกาย - การออกกำลังกายทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดฟีน ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น แถมกระตือรือร้นมากกว่าเดิมด้วยใช้เงิน(แต่ไม่ได้ซื้อของ) - เงินจริง ๆ สามารถซื้อความสุขได้นะครับ ถ้าความสุขนั้นมีนามว่า "ประสบการณ์"หยิบลักษณะเด่นของตัวเองมาใช้ - การศึกษาพบว่า ถ้าคุณใช้ลักษณะเด่นของตัวเองในชีวิตประจำวันมากเท่าใด คุณก็จะมีความสุขมากขึ้นครับ เช่น ถ้าคุณมีลักษณะเด่นในการรักการเรียนรู้ การได้อ่านหนังสือ หรือไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ก็จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น แล้วคุณละมีลักษณะเด่นอะไรบ้างครับ ถ้าคุณรักการอ่าน การอ่านบทความนี้ก็จะสร้างความสุขให้กับคุณผู้อ่านแน่ ๆ จริงไหมครับ2.คานและจุดหมุน ความสุข ไม่ได้หมายถึง การโกหกตัวเองหรือเพิกเฉยต่อเรื่องแย่ ๆ นะครับ แต่มันหมายถึงการปรับสมองให้มองเห็นวิธีที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ความสามารถในการเพิ่มศักยภาพของตัวเองให้ถึงขีดสุด ขึ้นอยู่กับ 2 สิ่งนี้ครับ คือความยาวของคาน - เปรียบเสมือนความเชื่อว่าเรามีศักยภาพและความสามารถมากแค่ไหน ตำแหน่งจุดหมุน - เปรียบเสมือนวิธีคิดที่เป็นต้นกำเนิดของการเปลี่ยนแปลง พอเห็นเขาเปรียบเทียบเป็นม้ากระดกเด็กที่เคยเล่นกับเพื่อนในวัยเด็กเลยครับ ถ้าเราน้ำหนักน้อยกว่าเพื่อนเราก็จะโดนดันให้ลอยไปอยู่กลางอากาศใช่ไหมครับ แต่ถ้าเราปรับจุดหมุนที่อยู่กึ่งกลางมาไว้ให้ใกล้กับเพื่อนที่มีน้ำหนักเยอะกว่าเรา เชื่อไหมครับว่าถ้าพวกเรานั่งลงพร้อมกัน ฝ่ายที่เป็นฝ่ายลอยกลางอากาศกลับเป็นคนที่น้ำหนักเยอะกว่า ผมกำลังจะบอกว่าเพื่อนคนที่ตัวใหญ่กว่าคุณเปรียบเสมือนเป้าหมายที่จะทำให้คุณสำเร็จหรืออะไรอะก็ตามที่ทำให้คุณเก่งขึ้น ส่วนคานก็เป็นความเชื่อเกี่ยวกับศักยภาพของเรา เราได้นั่งคานยาวมากเท่าไรเราก็จะเชื่อว่าเรามีศักยภาพมากพอที่จะทำให้เป้าหมายใหญ่เราสำเร็จได้ แล้วจะทำไงยังให้คานของเรายาวขึ้นล่ะทั้งทีเหล็กก็ไม่สามารถงอกออกมาได้ตามธรรมชาติ แต่เราสามารถทำได้ครับแค่เปลี่ยนตำแหน่งจุดหมุนที่อยู่ตรงกลางซึ่งเปรียบเสมือนวิธีคิดของเราไปไว้ให้ใกล้กับเป้าหมายของเรามากขึ้น เราจะสามารถยกเป้าหมายที่ใหญ่ที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้แค่ปลายนิ้วเลยล่ะครับ จุดหมุนในที่นี้ก็คือ"วิธีคิดของเรา"และวิธีคิดในที่นี้คือ"การคิดบวก"ครับ ซึ่งผู้เขียนบอกว่า เราสามารถเปลี่ยนมุมมองของตัวเองได้ตลอดเวลาอีกด้วย เรื่องของ"คานแห่งความเป็นไปได้" ยิ่งคุณเชื่อในความสามารถของตัวเองว่าจะประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ คุณก็จะแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น มีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าแค่เราเชื่อว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ เราก็จะมีความกระตือรือร้นและทำผลงานได้มากขึ้นแล้ว ดังนั้น "คุณต้องนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี" นะครับ เราจะใช้ประโยชน์ในจากคานและจุดหมุนอย่างไร? เราสามารถใช้คานและจุดหมุนเพื่อนค้นหาสิ่งที่ใจเรียกร้องได้! อธิบายง่าย ๆ คือเราสามารถสร้างความหมายใหม่ ๆ ให้กับงานหรือกิจกรรมของเราได้เสมอ ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงงานที่ต้องทำในแต่ละวันได้ ให้ลองถามตัวเองดูว่า งานเหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกมีความหมายหรือมีความสุขบ้างหรือไม่ มีผลการวิจัยระบุว่า แม้แต่งานเล็กน้อย ๆ ก็มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ได้หากเราเชื่อมโยงเข้ากับเป้าหมายหรือค่านิยมที่เราเชื่อถือ อย่างเช่น การทำงานอยู่ที่บ้านช่วงกักตัวก็อาจทำให้คุณเบื่อ แต่คุณสามารถสร้างความหมายใหม่ให้กับการอยู่บ้านได้อย่างเช่น การอยู่บ้านอย่างน้อยก็ได้อยู่กับลูก ๆ หรือคนรักได้นานขึ้นทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนแค่จะดูหนังกับแฟนยังไม่มีเวลาจะดูเลย หรือมีเวลาเพิ่มมากขึ้นแล้วเอาเวลาส่วนนั้นมาอ่านหนังสือ สร้างงานอดิเรกใหม่ ๆ ที่เราต้องการทำมานานแล้วแต่ไม่มีเวลา ยิ่งเราเชื่อมโยงให้เข้ากับความต้องการของตัวเองมากขึ้นเท่าใด เราก็มองงงานเป็นสิ่งที่ใจเรียกร้องมากขึ้นเท่านั้น 3.ปรากฏการณ์เตตริส เตตริส เป็น"เกม"ครับและผมเชื่อว่าคุณต้องเคยเล่นหรือผ่านตามาบ้าง วิธีเล่นเกมคือจะมีบล็อกสี่เหลี่มรูปร่างที่ไม่เหมือนกันคนละสีหล่นลงมาและคุณต้องทำอย่างไรก็ได้ให้บล็อกมันสามารถต่อกันได้เป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้าและสีเดียวกันคุณถึงจะได้คะแนน แล้วเกมนี้มันมีผลอย่างไรต่อความสุขของเราเหรอครับ? แน่นอนมันต้องมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้สิ คือมีการให้ผู้ทดลองเล่นเกมนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมงติดต่อกัน พอถึงเวลาที่นักวิจัยบอกให้เลิกเล่นแล้วกลับบ้านของตัวเอง แล้วกลับมาหาทดลองใหม่ ปรากฎว่าผู้ที่เล่นเกมเล่าว่าเขาเกิดอาการที่มองเห็นตัวต่อลงมาเหมือนภาพลวงตาหลายครั้ง ขณะเขาใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขณะเขาขับรถอยู่ก็เห็นการต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนบล็อกในเกมเลยทีเดียว นักวิจัยเรียกว่า ภาพติดตาที่ฝังอยู่ในความคิด และมีการวิจัยในภายหลังว่า การเล่นเกมอย่างสม่ำเสมอทำให้เกิดวิถีประสาทใหม่ ๆ ซึ่งบิดเบือนวิธีที่เรามองสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตจริงเลยทีเดียว คำถามคือ "เราจะปรากฎการณ์เตตริสอย่างไรในการทำงานหรือใช้ชีวิตล่ะ?" คำตอบก็ คืออออ! ทำให้เรามองเห็นโอกาสดี ๆ มากขึ้นนั้นเอง พูดง่าย ๆ ว่าเราจะฝึกสมองให้มองหาสิ่งดี ๆ อย่างโอกาสที่ซ่อนอยู่ในสถานณ์การต่าง ๆ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์สุขไว้ก่อน และเชื่อว่าจะเป็นการฝึกฝนที่ไม่ง่ายเลยนะครับ ถ้าหากเรามองสิ่งแย่ ๆ อยู่ตลอดเวลา จะส่งผลเสียอย่างมหาศาล มันจะทำลายความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราเครียดมากขึ้น ทั้งยังบ่อนทำลายความกระตือร้นและความสามารถในการบรรลุเป้าหมายอีกด้วย แต่ถ้าคุณมองสิ่งดี ๆ อยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์มันก็ตรงกันข้ามเลยครับ แล้วจะมีวิธีที่จะทำให้ติดกับดักปรากฎการณ์เตตริสเชิงบวกไหม ? แน่นอนว่ามีอยู่แล้วแถมถ้าเทียบกับการเล่นเกมก็สนุกเท่า ๆ กัน(หวังว่าผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังนะ) นั้นคือการ เขียนสิ่งดี ๆ 3 สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ครับ แค่ 3 อย่างคุณจะเขียนตอนตื่นนอนหรือก่อนนอนของแต่ละวันก็ได้ครับ ประโยชน์ของกิจกรรมนี้คือ คุณจะสามารถมองหาสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยเห็นมันเลย ผมขอยกตัวอย่างนะครับ วันนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือ มีคุณผู้อ่านได้มาอ่านและได้ความรู้ครับ ผมก็มีความสุขล่ะครับ หรือ วันนี้ฉันไม่ติดCOVIDก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วใช่ไหมละครับ ขอให้ทำทุกวันนะครับ ถ้ากลัวลืมคุณก็setเวลาในการทำกิจกรรมนี้เลยครับเช่น 21.00น.ก็จะเขียน 3 สิ่งที่ดีในวันนี้ การทำเช่นนี้ก็ถือเป็นการสร้างนิสัยที่ดีครับ และในหนังสือเล่มนี้จะมีบทที่พาเราไปสร้างนิสัยที่ดีกันครับ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะครับ : ) 4.การล้มเพื่อก้าวหน้า เราจะใช้ประโยชน์จากเรื่องเลวร้ายเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงที่จะช่วยให้เราก้าวหน้าได้อย่างไร ? การพบเจอกับความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดาแต่ก็มีอิทธิพลต่อตัวเราอย่างมากเช่นกันนะครับ บางคนอาจโทษเรื่องราวที่เลวร้ายจนยอมแพ้ไม่ลุกขึ้นสู้ต่อ แต่สำหรับบางคนที่ยังสู้ต่อไปและยังใช้กลยุทธ์สุขไว้ก่อนจะมองเห็นทางใหม่ ๆ ต่างและพาตั้งคำถามว่า "เวลาที่หมดแรงเพราะล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันต้องทำอย่างไรถึงจะมีแรงลุกขึ้นสู้ใหม่" ผู้เขียนก็ได้พบคำตอบว่านั้นคือ "การล้มเพื่อก้าวหน้า" นั้นเอง ทุกการตัดสินใจของมนุษย์ล้วนเกี่ยวข้องกับแผนที่ทางความคิดและเส้นทางในแผนที่ทางความคิดเมื่อเราเผชิญกับวิกฤติหรือเหตุการณ์เลวร้ายจะมีทั้งหมดสามเส้นทาง เส้นทางแรกคือการอยู่ในตำแหน่งเดิม(เหตุการณ์ร้ายไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง) เส้นทางที่สองคือเส้นทางที่จะนำพาเราไปสู่จุดที่เลวร้ายกว่าเดิม และเส้นทางที่สามจะพาเราก้าวข้ามความล้มเหลวหรืออุปสรรคไปยังจุดที่เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าการหาเส้นทางที่สามไม่ใช่เรื่องง่ายในขณะที่เราเผชิญกับวิกฤตอยู่ แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้เราฟื้นตัวกลับมาได้ต่างจากคนที่พ่ายแพ้ต่อความล้มเหลว การศึกษาจำนวนมากได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเราสามารถพบเส้นทางที่สามได้ นั่นค่อการเติบโตหลังประสบเหตุการณ์เลวร้าย(Post-Traumatic Growth) นักวิจัยพบว่าเหตุการณ์นี้จะกระตุ้นให้ผู้คนจำนวนมากเกิดการเติบโตในเชิงบวกได้อย่างมหาศาล การเติบโตเชิงบวกคืออะไร คำตอบคือการมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นและพึงพอใจกับชีวิตโดยรวมมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้เราเติบโตในเชิงบวกจึงเป็นการตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแง่บวก การมองโลกในแง่ดี การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และการรับมือกับปัญหาด้วยการเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา คนที่ลุกขึ้นก้าวต่อไปได้อย่างน่าประทับใจที่สุดคือคนมี่ไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลต่อตัวเอง แต่จะพยายามมองหาว่าเราเรียนรู้อะไรได้จากมันบ้าง จงดีใจกับการที่ได้ล้มเหลวกันครับ ทุกปัญหาล้วนมาพร้อมกับโอกาสในการเติบโต และเราก็สามารถฝึกตัวเองให้มองเห็นโอกาสและใช้ประโยชน์จากมันได้ นักจิตวิทยาบอกว่าเราควรล้มเหลวแต่เนิ่น ๆ ให้บ่อยครั้ง เพราะเราจะได้เรียนรู้วิธีรับมือกับความล้มเหลวก็ต่อเมื่อเราล้มเหลวจริง ๆ และพยายามฝ่าฟันไปให้ได้ ยิ่งเราเผชิญกับความยากลำบากเร็วขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพร้อมที่จะรับมือกับอุปสรรคที่พบเจอในวันข้างหน้ามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นครั้งต่อไปถ้าคุณรู้สึกสิ้นหวังเพราะปัญหาใหญ่ในหน้าที่การงาน ผิดหัวงที่ทำผลงานไม่ดี หรือเสียใจกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตส่วตัว จงจำไว้ว่ายังมีเส้นทางที่สามซึ่งจะพาคุณไปสู่จุดที่สูงขึ้นเสมอ หน้าที่เดียวของคุณก็คือการหาเส้นทางนั้นให้เจอ เหนือสิ่งอื่นใดจงจำไว้ว่าความสำเร็จไม่ได้หมายถึงการไม่เคยล้ม แต่หมายถึงการใช้สิ่งแย่ ๆ ในการฉุดให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า รวมทั้งใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เลวร้ายเพื่อทำให้เรามีความสุข กระตือรือร้นมากขึ้น หรือประสบความสำเร็จมากขึ้น สรุปนะครับ เหตุการณ์เลวร้ายมันไม่ใช่ความล้มเหลวแต่มันคือการล้มเพื่อไปสู่จุดที่ดีกว่านั้นเองครับ "ขอบคุณนะเจ้าเหตุกาณ์ที่ไม่ดี ที่สอนให้เรารู้จักสิ่งที่ดีกว่าตัวเจ้า"5.วงกลมโซโร ทำไมการให้ความสำคัญสำคัญกับเป้าหมายเล็ก ๆ ที่เราจัดการได้จึงช่วยขายขอบเขตความสามารถของเราได้ โซโรในที่นี้ คือฮีโร่อมตะที่โด่งดังทั้งในหนังสือ ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ต่างประเทศ เขาจะตะเวนออกสู้แทนคนที่ไม่สามารถต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองได้(เหมือน ๆ batmanเลย) แล้วที่มาของวงกลมโซโรมาได้อย่างไรกัน เขาเล่าว่าตอนที่โซโรต้องฝึกฝนวิชาเพื่อเป็นฮีโร่แน่นอนก็ต้องมีอาจารย์เป็นผู้ฝึกสอนกันอยู่แล้ว แต่โซโรก็ไม่สามารถฝึกฝนทักษะนั้นได้สักที อาจารย์ก็เลยจำกัดพื้นที่ให้เป็นวงกลมเล็ก ๆ ในการฝึกฝนของโซโร โดยให้ฝึกฝนภายในวงกลมและห้ามออกจากวงกลมจนกว่าจะฝึกทักษะอย่างหนึ่งจนเก่งให้เขาฝึกฝนได้ง่ายขึ้น เมื่อเขาเก่งแล้วอาจารย์ก็ขยายวงกลมให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามฝีมือของเขาจนในที่สุดก็ทำเป้าหมายใหญ่ได้อย่างการเป็น ฮีโร่พยุงความยุติธรรม วืธีนี้ทำไมถึงใช้ได้ในชีวิตจริงได้ละเนี่ย ถ้าคุณมีเป้าหมายที่ใหญ่พร้อมกับผลลัพธ์และการต้องทำสิ่งต่าง ๆ พร้อมกันมากมาย สิ่งที่จะลดลงคือกำลังใจหรือพลังงานของเรา แต่ถ้าเราจัดการกับเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถรับมือได้เป็นอันดับแรกจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเรา มีประเด็นที่น่าสนใจคือนักจิตวิยาพบว่าการที่เรามีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีความสุขมากขึ้น และสุขภาพดีขึ้นไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าเรามีอำนาจในการควบคุมมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดว่าตัวเองมีอำนาจแค่ไหนต่างหาก ความเชื่อที่ว่าการกระทำเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ จะผลักดันให้เราทุ่มเทพยายามมากขึ้น และเมื่อเราได้เห็นผลลัพธ์นั้น มันจะทำให้เรามีความมั่นใจที่้เพิ่มขึ้น หนังสือเล่มนี้บอกว่า ข้อเท็จจริงนี้สามารถใช้ได้กับแทบทุกแง่มุมของชีวิต ผลการศึกษาระบุว่าคนที่เชื่ออำนาจภายในจะประสบความสำเร็จมากกว่าทั้งในด้านการงานและการเรียนครับ และพวกเขายังมีความสามารถในการสื่อสาร แก้ปัญหาและมองหาวิธีที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายอีกด้วย ดังนั้นถ้าเรามีเป้าหมายที่ใหญ่ที่ใฝ่ฝัน จงวาดวงกลมให้เราสามารถควบคุมมันได้อย่างเชี่ยวชาญและพัฒนาให้มันใหญ่ขึ้นด้วยการทุ่มเทพยายาม แต่อย่าลืมว่าวงกลมเล็ก ๆ ที่จะพาเราไปสู้วงกลมใหญ่นั้นภายในนั้นก็มีความสุขเช่นกัน แต่อาจแตกต่างกันแล้วแต่ขนาดของวงกลม จงมีความสุขแต่ละวงกลมให้ได้มากที่สุดนะครับ เพราะความสุขไม่ได้เกิดขึ้นหลังวงกลมใหญ่ขึ้นแต่มันเกิดขึ้นระหว่างมันขยายยังไงละครับ แล้วคุณละครับภายในวงกลมนั้นมีความสุขขนาดไหนบอกผมหน่อยยยยยยย... 6.กฎ 20 วินาที มาวิธีทิ้งนิสัยแย่ ๆ แล้วมาทำนิสัยที่ดีด้วยการลดอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงให้เหลือน้อยที่สุดกัน บทนี้จะเกี่ยวกับการสร้างนิสัยใหม่ที่ดีและทิ้งนิสัยเก่าที่ไม่ดีครับ คุณผู้อ่านก็คงเคยมีนิสัยที่ไม่มีดีที่เคยทำเช่นกันใช่ไหมครับ แต่คุณผู้อ่านก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับว่าการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ การนอนให้ครบ 7-8 ชม.หรือการอ่านหนังสือในเวลาว่างคือสิ่งที่ดีสำหรับเรา แต่ทำไมทั้ง ๆ ที่เรารู้อยู่ในสามัญสำนึกแล้วว่ามันดีต่อเรา "แต่เรากลับไม่ทำ" ความรู้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการหากไม่มีการกระทำ ความรู้เหล่านั้นย่อมไร้ความหมาย ถึงกลับมีนักปรัชญาอย่าง อริสโตเติลกล่าวไว้วา "การลงมือทำในสิ่งที่ตัวรู้เองรู้ดีอยู่แล้วมักเป็นสิ่งที่ยากที่สุด" (จุกเลยครับ) ต่อมาก็มีแนวคิดในแวดวงจิตวิทยาที่ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำสิ่งต่าง ๆ ตามความเคยชิน เราเป็น "แหล่งรวมความเคยชิน" อย่างการตื่นนอนแล้วเก็บที่นอนทันทีหรือไปแปรงฟันเองหรือกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงเข้านอน ความเคยชินทำให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องใช้พลังสมองคิดเลยด้วยซ้ำ ข้อดีก็คือถ้าเราไม่มีความเคยชิน ทุกครั้งที่คุณขับรถคุณต้องเปิดคู่มือมันตลอดแน่ ๆ และนี้ก็คือกุญแจที่จะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงที่ดีคงอยู่อย่างยาวนาน นั้นคือเราต้องกลายเป็นแหล่งรวมความเคยชิน ในหนังสือบอกว่าการสร้างความเคยชิน(ที่ดี)ใด ๆ ก็ตามถือเป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนโดยอัตโนมัติในอนาคต แล้วเราจะเริ่มสร้างความเคยชินที่ดีได้อย่างไร คำตอบคือ การลงมือทำวันละนิด ครับ นักจิตวิทยา วิลเลียม เจมส์ กล่าวว่า "การลงมือทำอะไรสักอย่างจะกลายเป็นความเคยชินก็ต่อเมื่อเราทำสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่องและสมองส่วนที่เกี่ยวข้องก็ พัฒนา ขึ้นไปพร้อม ๆ กัน" พูดง่าย ๆ ก็คือความเคยชินเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของสมองเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่เราทำเป็น ประจำ ยิ่งเราทำสิ่งใดบ่อยมากแค่ไหน เซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นจะยิ่งเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้นเท่านั้น ทำให้คำสั่งจากเซลล์ประสาทเราของเดินทางรวดเร็วขึ้น และพฤติกรรมเหล่านั้นจะกลายเป็นนิสัยในที่สุด ถ้าคุณอยากทำอะไรให้ได้เก่งขึ้น ไวขึ้น แม่นขึ้นการฝึกฝนซ้ำ ๆ จะช่วยคุณครับ อย่างการเรียนคณิตศาสตร์ละกันครับ ตอนเรียนเรื่องใหม่ทุก ๆ คนเคยคิดว่ามันคงน่าจะยากสินะครับ เครื่องมงเครื่องหมายอะไรเต็มไปหมดแต่เมื่อเราได้เรียนและได้ฝึกทำโจทย์ไปเรื่อย ๆ เราก็สังเกตว่าเราสามารถทำได้โดยไม่ต้องคิดมันเลยด้วยซ้ำ สูตรบางสูตรที่เราเคยท่องจำ เรานึกขึ้นได้เมื่อเห็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับสูตรนี้ นี้ก็คือพลังแห่งความเคยชิดเช่นกันครับ และประเด็นสำคัญของบทนี้คือ การสร้างนิสัยที่ดีและปล่อยนิสัยที่ไม่ดี ในบทนี้มีการพูดถึงเรื่อง พลังงานก่อกัมมันต์ เป็นพลังงานที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีครับ อยู่ในวิชาเคมีนั้นเอง ความหมายง่าย ๆ ว่าถ้าพลังงานก่อกัมมันต์ยิ่งสูงเท่าใด(จินตนาการภูเขาไว้นะครับ)การเกิดปฏิกิริยาก็จะยากขึ้นเท่านั้น(การปีนข้ามเขานั้นเอง) แต่ถ้าพลังงานนั้นยิ่งน้อยเท่าใด การเปิดปฏิกิริยาก็จะง่ายขึ้นครับ ดังนั้นการที่เขาจะเริ่มทำอะไรสักอย่างต้องใช้พลังงานก่อกัมมันต์ในการเริ่มต้นอยู่แล้ว ยกตัวอย่างนะครับ ระหว่างการนอนเฉย ๆ บนเตียงกับ ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อกีฬา สวมรองเท้าและออกไปวิ่ง อันไหนพลังงานก่อกัมมันต์เยอะกว่ากัน แน่นอนว่าการลุกออกจากเตียงมันใช้พลังงานเยอะกว่า สมองผู้รักเจ้านายอย่างเราคงบอกว่า "นายจ๋าอย่าไปเลยจ่ะนายจ๋า มานอนเล่นโทรศัพท์ดีกว่านายจ๋า" น่าสงสารที่ว่าสมองผู้ที่ยังไม่เคยสัมผัสความสุขจากการทำสิ่งที่ดีเลย แต่เราสามารถที่จะลดพลังงงานก่อกัมมันต์ได้ครับ(บ๊าย บาย สมองจอมเจ้าเล่ห์) คุณแค่ต้องใช้เวลาในการเริ่มต้นกิจกรรมให้น้อยกว่า 20 วินาที แล้วคุณจะเริ่มกิจกรรมที่ดีได้อย่างสบาย ๆ เลยละครับ และถ้าจะปล่อยนิสัยที่ไม่ดี(อย่าทำลายนิสัยไม่ดีเลยครับ อย่างน้อยนิสัยนั้นมันก็ทำให้เรารู้ตัวว่าเราควรพัฒนา) คุณก็แค่เพิ่มพลังงานก่อกัมมันต์แค่นั้นเอง อย่างเช่น อยากจะออกไปวิ่งให้ได้ตอนเช้า คุณก็แค่ใส่ชุดวิ่งนอนเลยครับและตั้งใจไว้ว่าตอนเช้าจะตื่นไปวิ่ง และพลังงานเดียวที่คุณจะใช้คือ การสวมรองเท้า ส่วนนิสัยที่ไม่ดีอย่างเช่น การติดเกม(การเล่นเกมไม่ได้มีข้อดีและข้อเสียในตัวมันนะครับ มันขึ้นอยู่ว่าคุณได้อะไรจากการเล่นเกมนั้นมากกว่าครับ) ถ้าคุณอยากเลิกเล่นเกมให้น้อยลง และไปวิ่งแทน คุณก็แค่ลบเกมนั้นออกจากคอมไปเลยครับ แล้วตั้งกฎว่าถ้าอยากเล่นคุณก็ต้องโหลดใหม่เท่านั้นเองง่ายจาตาย ครั้งแรกคุณก็จะสามารถรอการโหลดเกมได้เพราะความอยากนั้นมันมหาศาลทีเดียว แต่พอทำไปเรื่อย ๆ คุณก็จะรู้สึกว่าน่ารำคราญ และเอาเวลานั้นไปสวมรองเท้าดีกว่า(เพราะใส่ชุดวิ่งพร้อมแล้ว) 7.การลงทุนทางสังคม ทำไมแรงสนับสนุนการคนรอบข้าง จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับคุณครับ มีใครเป็นเหมือนผมบ้างครับที่เมื่อมีปัญหาเข้ามา เราจะจัดการมันด้วยตัวของเราเอง แน่นอนว่าเราจัดการได้สำเร็จ แต่..ระหว่างทางมันเครียดและทุกข์ไปตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้นมันทำให้ผมได้บทเรียนอย่างหนึ่งคือ เมื่อต้องเจอกับปัญหาหรืออันตรายที่ไม่คาดคิด วิธีเดียวที่จะช่วยให้เรารอดพ้นได้ก็คือการจับมือผู้คนรอบตัวไว้ให้มั่นและอย่าปล่อยมือเป็นอันขาด ในช่วงเวลาที่ควรยื่นมือออกไปหาคนอื่นมากที่สุดกลับจมปลักอยู่กับตัวเอง และช่วงเวลานี้มักเจอในที่ทำงาน โรงเรียน ชีวิตประจำวัน เมื่อเสียงนาฬิาที่ทำงานดังขึ้น มันก็เหมือนเราต้องลืมคนล้อมข้างและหันมาสู้คนเดียวทุกครั้งและมันก็ทำให้เราประสิทธิภาพเราแย่ลงเรื่อย ๆ ทุกครั้งด้วย จนเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเราและเส้นตายที่ตามมาทำให้เราต้องนั่งนิ่ง ๆ ปิดโทรศัพท์และเข้าไปที่หลบภัยที่มีประตูล็อกอีก 2 ชั้น ซึ่งตัวผมเองที่เคยเป็นเช่นนี้เมื่อเจอปัญหาครับ แต่เมื่อรู้ว่าคนสำเร็จเขาเป็นยังไงเมื่อเจอปัญหา มันก็ทำให้ผมออกจากที่หลบภัยไปยังอีกทีหนึ่งที่ที่มีผู้คนที่ผมรักและรักผมอยู่นั้นเอง แล้วคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำอย่างไรเมื่อเจอปัญหาล่ะ มันตรงกันข้ามเลยครับ นั่นคือแทนที่จะเก็บตัวอยู่คนเดียว พวกเขาจะจับมือผู้คนรอบข้างให้แน่นขึ้น คนเหล่านี้ไม่เพียงมีแต่ความสุขมากขึ้นแต่ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย กระตือรือร้นขึ้น และฟื้นตัวได้เร็วกว่า พวกเขาทำเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าการลงทุนที่สำคัญที่สุดในกลยุทธ์สุขไว้ก่อนคือ การลงทุนด้านความสัมพันธ์ ครับ การศึกษาจำนวนมากล้วนยืนยันว่า "ความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยให้คนเรามีชีวิตอยู่ได้ เช่นเดียวกับอาหารและอากาศ" ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการมีกลุ่มคนที่เราสามารถไว้ใจได้ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัวหรือเพื่อนจะทำให้อารมณ์ ความคิด และสุขภาพร่างกายของเราดีขึ้น เราจะฟื้นจากความล้มเหลวได้เร็วขึ้้น บรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น และรู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตชัดเจนขึ้น และผลลัพธ์ที่ตามมาคือความสุขครับ ดังนั้นการลงทุนทางสังคมมีส่วนช่วยให้ความเครียดลดลงด้วยครับ งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นแต่ละครั้งในระหว่างเวลางานจะช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดของพนักงงานกลับสู่ภาวะพัก ซึ่งภาวะนี้ถูกเรียกว่า "ช่วงฟื้นตัวจากการทำงาน" การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีบ่อยครั้งจะช่วยให้พนักงานมีภูมิคุ้นกันต่อผลกระทบด้านลบจากแรงกดดันในการทำงานด้วยครับด้วยครับ และยังมีงานวิจัยจำนวนมากที่พบว่าคนที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะมองสถานการณ์การต่าง ๆ เป็นเรื่องเครียด พูดง่าย ๆ คือการลงทุนด้วยการสานสัมพันธ์กับคนอื่นจะช่วยให้คุณมองเห็นได้ง่ายขึ้นว่าอุปสรรคที่เผชิญอยู่เป็นโอกาสและหนทางสู้การเติบโต และเมื่อคุณรู้สึกเครียดคุณก็จะดึงตัวเองออกมาจากความเครียดได้รวดเร็วกว่าด้วย ในโลกของการทำงานนะครับ การมีความสามารถในการจัดการกับความเครียดถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญมากด้วย และสิ่งที่คุณควรรู้คือการลงทุนทางสังคมเพื่อบ่มเพาะความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำให้พนักงานทุกคนกลายเป็นเพื่อนสนิทหรือคุยกับถูกคอตลอดเวลานะครับ มันเป็นไปได้ยากมาก แต่สิ่งสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องเคารพและจริงใจต่อกันครับ สุดท้ายนะครับความสัมพันธ์ที่ดีมีเริ่มต้นและก็ต้องจบลง มีงานวิจยจำนวนมากพบว่าความรู้สึกขอบคุณจะกระตุ้นให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกอยากกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้มขึ้น ดังนั้นการเริ่มต้นสานสัมพันธ์ที่ดีและการจบด้วยการขอบคุณจะไม่ไม่ได้แค่ทำให้คุณได้รู้จักเพื่อนที่ดีเพิ่มขึ้นแต่ยังทำให้เพื่อนและตัวคุณเองมี"ความสุขมากขึ้นด้วย" ครับ ภาพประกอบ: ภาพที่ 1-2 โดยนักเขียน / ภาพที่ 3 pexels / ภาพที่ 4 pexels / ภาพที่ 5 pexels