...ความฝันที่มั่นสุดท้าย ...มารู้จักดินแดนแห่งความฝัน. ...ชุมชนฮิปปี้ที่ "คริสเทียเนีย" หนังสือเล่มนี้เป็นสารคดีท่องเที่ยวบันทึกประสบการณ์การเดินทางของผู้เขียนนามปากกาว่า “นิ้วกลม” หลังจากที่เขาได้เดินทางไปถ่ายทำรายการพื้นที่ชีวิตตอน “คริสเทียเนีย วิถีเสรีชน” โดยออกอากาศไปเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2555 และหนึ่งปีให้หลังเขาจึงได้ตีพิมพ์เป็นงานเขียนชิ้นนี้ขึ้นมา หน้าปกหนังสือให้อารมณ์ถึงความเป็นเทพนิยายปรัมปราชวนฝัน ที่ข้างในนั้นกำลังรอให้เราเข้าไปทำความรู้จักกันอยู่ค่ะ “คริสเทียเนีย” คือที่ไหน? เอาจริงๆ เราเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินครั้งนี้ครั้งแรกเหมือนกัน เลยยิ่งเพิ่มความน่าสนใจในการอ่านไปอีกเท่าตัว คริสเทียเนียเป็นชุมชนหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นชุมชนอิสระที่แยกตัวออกจากเดนมาร์ก (แต่ว่าตั้งอยู่ใจกลางเมือง) ปกครองกันเอง โดยมีวิธีบริหารจัดการและการอยู่ร่วมกันในแบบเฉพาะของตน พวกเขาตั้งกฎไว้สำหรับการอยู่ร่วมกันซึ่งบางอย่างก็ตรงข้ามกับรัฐบาล (เช่น การซื้อขายและเสพกัญชากันอย่างเสรี) และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คริสเทียเนียเสมือนโลกแห่งความฝันเข้าไปอีก เพราะมีควันล่องลอยอยู่ในพื้นที่ อ้อ!! และที่นี่ก็มีกฎเหล็ก 3 ข้อคือ Have fun Don’t run No photos จงสนุก อย่าวิ่ง และห้ามถ่ายรูป อ่านแล้วก็แปลกใจนิดหน่อยกับ กฎ 3 ข้อ เราจะคอยมีคำถามเอ๊ะในใจตลอดเวลา แต่ก็ได้คำตอบมาว่าเมืองคนฮิป ไลฟ์สไตล์ก็ต้องชิคไม่เห็นแปลก สำหรับเราจากการอ่านสรุปความได้ว่า ข้อแรก Have fun ขอให้ทุกคนจงสนุกกับการใช้ชีวิต และใช้เสรีภาพที่มีอย่างเต็มเปี่ยม ข้อสอง Don’t run ไม่ต้องรีบ เพราะชีวิตเราไม่ต้องแข่งขัน ขอให้ใช้ทุกจังหวะชีวิตด้วยความรักอย่างมีความสุข และข้อสาม No photos อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าที่นี่มีการค้าขายกัญชาอย่างเสรี แต่ข้างนอกนั่นมีกฏหมายที่เคร่งครัด ดังนั้นถ้ามีใครที่ถ่ายภาพเกี่ยวกับกัญชาไปเผยแพร่นั่นก็จะไม่เวิร์คนั่นเอง (ข้อนี้ผู้เขียนบอกว่า กล้องถ่ายรูปมีไว้ห้อยคอสวยๆ พอค่ะ) ต่อไปนิ้วกลมก็ได้บรรยายถึงลักษณะที่พักของที่นี่ แว้บแรกที่เขาสัมผัสเขามองว่าบ้านหลังนี้รก แต่เมื่อปล่อยให้ใจได้ วางความคาดหวังลงและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เราจะสัมผัสได้ถึงความอิสระ ฝาขวดน้ำ ฝาเบียร์ ถูกนำมาประดับข้างฝาผนัง ในห้องมีโปสเตอร์ติดไว้หลายแผ่น พร้อมกับข้อความแสดงทัศนคติ เช่น “Take a run from the middle of the room to the wall” (วิ่งจากกลางห้องพุ่งเข้าหากำแพง) เป็นข้อความสอนวิธีการหลบหนีจากห้อง หรือแผ่นโปนเตอร์วง Pink Floyd ตัวหนังสือพ่นว่า Mother, Should I trust the government? (แม่ครับ? ผมควรจะไว้ใจรัฐบาลไหม?) อันนี้ก็ตีความตามเรื่องการเมืองการปกครอง บรรยากาศข้างต้นนั้นทำให้สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณเสรีชน การตั้งคำถามกับชีวิตที่น่าเบื่อ ความไม่ศรัทธาในผู้มีอำนาจ หรืออาการรังเกียจสงครามลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง บางคนบอกว่าจิตวิญญาณของฮิปปี้มีส่วนผสมจากการคัดค้านสงคราม ความเชื่อในเสรีภาพ และศาสนาพุทธ รวมถึงนิกายเซน บรรดาฮิปปี้ทั้งหลายให้ความสำคัญกับทุกวันของชีวิต และพยายามดำเนินชีวิตตามที่ตัวเองคิดว่าดีงาม มิใช่ตามที่สังคมพยายามกล่อมว่าดีงาม คือพออ่านแล้วเราก็จะมีคำถามผุดขึ้นมาตลอดว่า สถานที่แห่งนี้มีจริงในโลกเราด้วยหรอ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ท้าให้เราต้องลองพิสูจน์ เล่าถึงบรรยากาศของคริสเทียเนียไปพอสังเขป แล้วประวัติศาสตร์ของคริสเทียเนียล่ะ เป็นอย่างไร? นิ้วกลมบอกว่า “เศษผงของประวัติศาสตร์ปลิวปะปนกับอากาศของปัจจุบันเสมอ” งั้นเราขอย้อนกลับไปยุคบุกเบิกขอคำว่า “ฮิปปี้” กันก่อน ที่มาของชุมชนฮิปปี้ย้อนกลับไปยังเมืองแซนฟรานซิสโกในทศวรรษที่ 1960-1970 พวกนักศึกษาต่างต่อต้านสงคราม คำคมที่ฮิตเลยก็คือ make love, not war รวมถึงต่อต้านการเหยียดผิว และการครอบงำการศึกษา เราเรียกพวกเขาว่า Beat generation ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฮิปปี้ แนวคิดสำคัญก็คือการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกซึ่งตัวตนนั่นเอง พวกฮิปปี้สามารถอยู่กันได้ตามมีตามเกิด มีอะไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่เรื่องมากเรื่องที่อยู่อาศัย ถ้าเป็นยุคนี้ฮิปปี้คงเป็นคนที่ใช้ชีวิตชิลๆ เนิบนาบไปเรื่อยๆ ไม่แข่งกับใคร รักสันติ เทิดทูนความเป็นมิตรและอ่อนละมุน และเขาเรียกตัวเองว่าบุปผาชน หรือ flower generation จากนั้นอิทธิพลของความคิดและชุมชนฮิปปี้ก็เริ่มขยายวงกว้าง ขยับเข้ามาสู่ช่วง 40 ปีแห่งความหลังกันสักหน่อย เมื่อวันที่ 26 กันยายน 1971 (ซึ่งถือเป็นวันคล้ายวันเกิดของคริสเทียเนียด้วย) พวกเขาได้บุกยึดตึกเก่าของกองทัพเดนมาร์กที่ถูกทิ้งร้างไว้ในกรุงโคเปนเฮเกน พื้นที่บริเวณนี้อยู่ในเขตคริสเทียนชไวน์ และอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังและรัฐสภา คนหนุ่มสาวที่คริสเทียเนียถูกถ่ายรูปไปลงหนังสือพิมพ์ โดยหลังจากหนังสือพิมพ์นำรูป Freetown Christiania ไปลงก็มีผู้คนเริ่มสนใจ และแห่กันมาตั้งรกรากที่นี่ พอปี 1973 รัฐบาลจึงประกาศให้คริสเทียเนียเป็น “เขตสังคมทดลอง” ชุมชนคริสเทียเนียจึงกลายเป็นที่เลื่องลือในหมู่เสรีชน พื้นที่ขยายใหญ่เกินจนรัฐบาลประกาศให้หยุดสร้างบ้านเพิ่ม แต่กระทั่งทุกวันนี้ พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่นี่ และเขาก็ยังคงต้องจ่ายค่าเช่าอาคารสถานที่ให้รัฐบาล (แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยก็ตามเพราะเขาคิดว่าพื้นที่บนโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ โลกนี้ไม่ใช่ของเรา เราต่างหากที่เป็นของโลก) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตอนนี้คริสเทียเนียเปิดตัวกับโลกภายนอกมากขึ้น จากชุมชนปิดก็ค่อยๆกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาสม่ำเสมอ และหลากหลายมุมมอง 40 ปีผ่านไปบางสิ่งเหมือนเดิม บางสิ่งเปลี่ยนไป ฮิปปี้รุ่นเก่าอาจมองว่าแบบนี้ไม่ใช่วิถีของเขา แต่บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นวิถีของการเอาตัวรอด และ "ไม่มีพื้นที่ใดไร้ประวัติศาสตร์ แต่ทุกที่ย่อมต้องเคลื่อนไปสู่อนาคต" นิ้วกลมกล่าวไว้ ความงดงามของคริสเทียเนียอยู่ที่วิธีการคิดของผู้คน และการพยายามสร้างความเข้มแข็งของชุมชน พวกเขาเป็นอิสระจากโลกภายนอก (เป็นอิสระต่อรัฐ เป็นอิสระต่อสหภาพ อย่างน้อยก็ทางความคิด) แต่พวกเขาก็มีพันธะสัญญาต่อกันและกัน ที่นี่ผู้คนมีเสรีภาพและความรัก แม้ว่าเสรีภาพไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี แต่อย่างน้อยก็เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณมีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิต ได้คิด ได้ทำในแบบที่คุณเชื่อ ในแบบที่คุณอยากลอง บางคนบอกว่าคริสเทียเนียเป็นสิ่งตกค้างของยุคสมัยฮิปปี้ อีกไม่นานก็คงหมดไปเพราะถูกโลกข้างนอกกลืนกิน แต่ถ้ามองอีกแง่คริสเทียเนียอาจจะเป็นดอกไม้ดงสุดท้ายที่พร้อมจะขยายพันธุ์ต่อไป... หากคุณฝันถึงโลกใบไหน อย่ามัวแต่นั่งพูด ลงมือสร้างมันขึ้นมา และถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะลองไปเยือนโลกแห่งความฝันบนโลกแห่งความจริงสักครั้งค่ะ!! รายการอ้างอิงหนังสือนิ้วกลม. (2556). ความฝันที่มั่นสุดท้าย. สำนักพิมพ์ KOOB: กรุงเทพฯจำนวนหน้า : 225 หน้าราคาปก : 215 บาทรายการอ้างอิงรูปภาพที่มาภาพที่ 1-2 : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน By Sepnineที่มาภาพที่ 3 : (Photo by Annie Spratt on Unsplash)ที่มาภาพที่ 4 : (Photo by Annie Spratt on Unsplash)ที่มาภาพที่ 5-6 : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน By Sepnineช่องทางการสั่งซื้อหนังสือออนไลน์Facebook : สำนักพิมพ์ KOOBWebsite : ร้านหนังสือ Paperyard และ ร้านหนังสือ Naiin