"เพราะป่วย จึงได้อ่านหนังสือเล่มนี้"นี่คือคำสารภาพจากคนที่ไม่เคยคิดจะหยิบเล่มนี้มาอ่านเลยเหตุผลข้อแรก หลิวไม่รู้จัก คุณ ประภาส ชลศรานนท์ ไปอยู่ที่ไหนมาก็ไม่รู้ หรือไม่ก็ต้องยอมรับว่าเกิดไม่ทันยุคหนังสือพิมพ์ จึงไม่รู้จัก บทความ "คุยกับประภาส" ในหนังสือพิมพ์มติชน และหลิวก็ดันเป็นคนที่ไม่ดูโทรทัศน์ จึงแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อของคุณประภาส หรือ พี่จิก แห่งเวิร์คพอยท์เลยเหตุผลข้อที่สอง หลิวคิดว่า หนังสือเล่มนี้คงเป็นหนังสือแนวให้แรงบันดาลใจ รวมคำคมเก๋ ๆ เหมือนที่มีเต็มท้องตลาด จึงไม่ได้สนใจมากนัก ตอนที่มีคนซื้อเล่มนี้มาให้แต่!! คนรู้น้อยอย่างหลิวกลับคิดผิดอย่างสิ้นเชิง และถ้าหากไม่ป่วย คงพลาดหนังสือดีดีไปอีกหนึ่งเล่มช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หลิวป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จนสุดท้าย มันทำให้เราทำอะไรไม่ได้นอกจาก นอน สาเหตุคงมาจากฤทธิ์ยาด้วยจะดูหนังใน Netflix จะเล่นมือถือ เปิดดู Social Media เหมือนปกติก็ไม่ได้ เพราะทำให้เวียนหัว คลื่นไส้ สุดท้าย เมื่อไม่มีทางเลือก และมีบางจังหวะที่เราตื่นขึ้นมา แต่ไม่มีแรงทำอะไร เลยหันไปเห็นหนังสือเล่มนี้วางอยู่ตรงหัวเตียง จึงหยิบมาเปิดดูฆ่าเวลาช่วงเวลาป่วย หนังสือคำคมนี่แหละ น่าจะเวิร์คที่สุด หลิวคิดแบบนั้นปกติหากพูดถึงหนังสือ หลิวจะอ่านพวกหนังสือการตลาด และแทบไม่อ่านหนังสือประเภทอื่นนอกจากนี้ แต่อย่างที่บอก สภาพในตอนที่ป่วยคงไม่สามารถหาความรู้อะไรใส่สมองได้ เลยต้องหยิบหนังสือ ที่เข้าใจผิดว่า เป็น "คำคม" ขึ้นมาอ่านแทนและนั่นเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้หลิวค้นพบบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานปกติเวลาป่วยหลิวค่อนข้างจะโมโหตัวเองนะเพราะมันทำให้เราทำอะไรไม่ได้ และรู้สึกว่า มันทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กับการต้องนอนเปื่อยเป็นผัก แต่หนังสือเล่มนี้ ทำให้หลิวรู้สึกแย่น้อยลงข้อแรก ไม่ปวดหัวที่จะอ่าน แม้จะต้องข้ามบางบทที่ตัวเลขเยอะ ๆ ไป (หลิวไม่ชอบเลข เวลาปกติก็หลีกเลี่ยงอยู่แล้ว ยิ่งป่วย ยิ่งข้าม)หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนคุณประภาสตอบจดหมาย มาจากคอลัมน์ คุยกับประภาส ที่ตอบคำถามกับผู้อ่าน มันเลยเหมือนเรานั่งอ่าน คนที่มีประสบการณ์ กำลังเล่าเรื่องราว แล้วมันแสนจะบังเอิญมาก ๆ ที่ความคิด คำแนะนำ และสิ่งที่คุณประภาสคุยกับผู้อ่าน ทำให้หลิวค้นพบช่องว่างในการทำงานของตัวเองที่เคยหายไป ที่แน่ ๆ หลิวรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่หนังสือรวมคำคมเก๋ ๆ ที่ไว้สร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต แต่มันเป็นยิ่งกว่านั้นหลัง ๆ นี้ หลิวมักจะถามตัวเองมาตลอดว่า ทำไมหลิวถึงไม่รู้สึกว่างานของตัวเองมันมีพัฒนาการขึ้นเลยบางคนอาจพูดว่ามันดีแล้ว ใช่... มันดีแค่ในแบบมาตรฐานเดิม แต่ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้น แล้วหลิวก็ไม่รู้ว่า. . ..อะไรที่หายไปเวลาหลิวต้องการพัฒนาตัวเอง หรืองานตัวเองหลิวมักจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการตลาด งานวิจัย สถิติ หรืออะไรพวกนั้น เยอะแยะไปหมดถ้าไม่ทำอย่างนั้น หลิวก็พยายามวิเคราะห์ข้อมูลและวิ่งตามเครื่องมือทางการตลาด หรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ ให้ทัน หลิวทำงานด้าน Digital Marketing หลิวจึงจะอยู่กับเรื่องพวกนี้ เครื่องมือทางการตลาด กลยุทธ์ทางการตลาด อะไรใหม่ อะไรอยู่ในกระแส หลิวจะตามมันหมด หลิวเคยบ้าที่จะไล่ตามสิ่งเหล่านี้หนักมาก ใช้ทุกเครื่องมือที่ใคร ๆ ก็บอกว่าดี แต่ทำไม สุดท้ายแล้ว มันไม่ได้ทำให้อะไรพัฒนาเลย มันแค่รักษามาตรฐานเดิมไว้ได้แค่นั้น#มันขาดอะไรไป?นั่นคือสิ่งที่หลิวสงสัย แล้วสุดท้ายก็ไปพยายามแก้ไขมัน ด้วยการยัดเยียดบทความทางการตลาด กลยุทธ์ธุรกิจ ข้ามไปจนถึง MIT หรือจะกระโดดไปศึกษาเรื่อง data-driven เลยถ้ามีเวลา แต่ก็เหมือนวนมาแค่จุดเดิม รักษามาตรฐาน แต่ไม่ได้พัฒนาอะไรเลยจนพอเราได้ป่วยแบบจริง ๆ ป่วยจนไม่สามารถเอาสมองไปทำงานหรือคิดอะไรได้ แล้วเราก็ทำได้แค่หยิบหนังสือเบา ๆ สักเล่มมาอ่าน ซึ่งก็เป็นเล่มนี้ ปริศนาห้าร้อย หนังสือเล่มแรก จากชุด "คุยกับประภาส" บนปกของหนังสือเล่มนี้ ถ้าสังเกตดีดี บริเวณมุมขวาบน จะมีคำภาษาอังกฤษสั้น ๆ เขียนว่า Imaginationตอนแรกหลิวไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอหลิวมานั่งอ่านไป หลิวกลับพบคำตอบที่หลิวตามหามานาน ทำไมงานหลิวถึงไม่พัฒนาขึ้นเลยคำตอบที่หลิวเจอคือ หลิวทิ้งความเป็นนักคิดสร้างสรรค์มานานแล้ว ทุกวันนี้ เวลาหลิวทำอะไรสักอย่าง มันจะต้องถูกคิดจากพื้นฐานที่มีข้อมูลทางสถิติ หรือข้อมูลบางอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงยอมรับว่า ยิ่งข้อมูลเยอะมากเท่าไหร่ เราจะวิเคราะห์ออกมาได้แม่นยำขึ้น เวลาเอาไปทำกลยุทธ์บางอย่างมันก็จะเสี่ยงน้อยลงแต่สุดท้าย งานหลิวจะไม่ค่อยเกิดอะไรใหม่ ๆ เลยที่ใหม่ ก็แค่ข้อมูลที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่กระบวนการ เหมือนเดิม และนั่นทำให้หลิวมองว่า หลิวไม่ได้พัฒนาอะไรเลยในสิ่งที่ตัวเองทำการทำการตลาด หรือการทำธุรกิจให้สำเร็จในทุกวันนี้ หลิวว่า มันไม่ใช่แค่ข้อมูลที่ดีพอ และการวิเคราะห์ที่ดีพอละ แต่มันคือการสร้างนวัตกรรมและสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่หลิวหลงลืมไป แล้วเล่มนี้กลับทำให้หลิวเจอคำตอบ ทั้ง ๆ ที่ นี่ไม่ใช่หนังสือการตลาดหรือจะใกล้เคียงหนังสือแนวนั้น แต่อย่าลืมว่าทุกตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้ มาจากนักคิด นักสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จ และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลิวค้นพบจิ้กซอว์ที่หายไป"ประภาส ชลศรานนท์"เป็นทั้งศิลปินและนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือสิ่งที่หลิวมองเห็นจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ จริง ๆ หลิวไม่รู้จักศิลปินแห่งชาติท่านนี้มาก่อนเลย และการคิดแบบทั้งศิลปินและนักวิทยาศาสตร์นี่แหละ ที่ทำให้หลิวเห็นว่า มันคือมิติใหม่ทางการศึกษาของยุคนี้ รวมถึงมันทำให้หลิวมองเห็นจุดที่ขาดหายไปในงานของตัวเองเรามักจะคุ้นชินกับการถูกแบ่งแยกมาอย่างชัดเจนด้วยรูปแบบการศึกษา ที่แบ่งเราเป็น เด็กวิทย์ และเด็กศิลป์ ครั้งหนึ่งหลิวเคยเชื่อว่าตัวเองคือเด็กศิลป์ เช่นเดียวกันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กศิลป์ แต่เป็นเด็กวิทย์ แต่ในท้ายที่สุด โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุค 4.0 ที่เส้นแบ่งทางการศึกษาค่อย ๆ จางลง เราสามารถเข้าถึงศาสตร์ความรู้ได้ทุกแขนงง่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่าง ๆ มันทำให้หลิวพบว่า ทุกอย่างมันเป็นส่วนผสมของกันและกันเราใช้ข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด แต่เราก็ต้องใช้จินตนาการ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ หนังสือเล่มนี้ทำให้หลิวเจอคำตอบนี้นี่คือสิ่งที่หลิวอยากเล่า...สิ่งที่หลิวอยากให้คุณไปค้นพบด้วยตัวเอง หลิวเชื่อว่า คุณน่าจะได้เจอคำตอบบางอย่างที่ต่างจากหลิวมันก็เหมือนชื่อหนังสือนั่นแหละ "ปริศนาห้าร้อย"ปริศนาของคุณคืออะไร? แล้วคำตอบของคุณคืออะไร? หนังสือเล่มนี้ จะทำให้คุณค้นพบอะไรบางอย่าง และเชื่อเถอะว่า มันคุ้มค่าพอให้คุณค้นหาด้วยตัวเอง