" อนาคตของคุณต่อจากนี้ จะถูกตัดสินจากการตั้งคำถาม "คำโปรยบนปกหลังของหนังสือ ทำให้ต้องหยิบมาเป็นเป้าหมายในการอ่านครั้งนี้ เพราะอยากรู้ว่า การตั้งคำถามจะกลายเป็นอาวุธทรงพลังที่สามารถนำไปสู่การสร้างอนาคตในแบบที่ต้องการได้จริงหรือไม่ถ้าถามคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการตั้งคำถามอาจดูเหมือนเป็นการเปิดเผยความอ่อนด้อยของตัวเอง แต่แท้จริงแล้วหลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบ กลับแสดงให้เห็นว่า คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะชอบการตั้งคำถามและกล้าพูดว่า "ไม่รู้" เพราะฉะนั้นหากเราจะตั้งคำถามให้ได้ประโยชน์ เราควรเปลี่ยนทัศนคติในการตั้งคำถาม ว่าเป็นการถามเพื่อความรู้ มิใช่การถามเพื่อแสดงความโง่เขลาการตั้งคำถามที่เหมาะสม จะทำให้เกิดนวัตกรรม ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อคิดนี้ เพราะการตั้งคำถามที่ดี จะทำให้เราสามารถคิดหาทางแก้ปัญหาในทางสร้างสรรค์ได้ ยกตัวอย่างของตัวเอง ซึ่งทำกิจการร้านยาในช่วงที่โควิดระบาดช่วงแรก ต้องระวังเรื่องการแพร่กระจายเชื้อ จะทำอย่างไรถึงจะป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย และสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตอนนั้นต้องการแค่มีอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่ช่วยให้เราป้องกันตัวเองได้มากกว่าหน้ากากอนามัย แต่ถ้าใช้อะคริลิกก็จะมีราคาแพง และต้องใช้เวลารอคิวทำนาน คำถามคือ มีวัสดุอะไรที่กั้นเชื้อโรคได้ ราคาไม่แพง สามารถทำเองได้ ก็เลยลองทำเป็นฉากกั้นโดยใช้แค่พลาสติกห่อปกหนังสือกับท่อน้ำ ซึ่งก็ใช้ได้ผลดีทีเดียว จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ดังนั้นจึงควรตั้งคำถามอยู่เรื่อย ๆ ผู้เขียนคิดว่า การตั้งคำถามไปเรื่อย ๆ แบบนี้ จะทำให้เราสามารถหาคำตอบที่ตรงกับสถานการณ์ที่เราเจอได้มากที่สุด เพราะคำตอบขึ้นอยู่กับบริบทที่แวดล้อมตัวเรา ณ ขณะนั้น แม้แต่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่ความจริงที่ถูกต้องเสมอไป ยังสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆเมื่อมีการค้นพบข้อมูลใหม่ ๆ ดังนั้น ไม่ผิดถ้าเราจะตั้งคำถาม กับสิ่งที่คนอื่นเห็นว่ามันถูกต้องแล้วถ้าอย่างนั้นเราจะฝึกตั้งคำถามอย่างไร ผู้เขียนสรุปจากหนังสือได้ว่าต้องรู้จักตั้งข้อสงสัยเมื่อมีความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้นโดยไม่ปล่อยผ่าน ซึ่งจะทำให้เราตั้งคำถามได้ตรงประเด็นและชัดเจน ในหนังสือยกตัวอย่างที่ “โมงิ เคนอิจิโร่” สัมภาษณ์แขกรับเชิญที่เป็นผู้รับเหมาที่ฟื้นฟูกิจการรีสอร์ต เค้าสังเกตเห็นแขกรับเชิญใส่เสื้อยืดคอกลมในคลิปวิดีโอ จึงตั้งคำถามไปว่า “มีเหตุผลอะไรในการใส่เสื้อคอกลมอยู่ตลอด” ซึ่งนอกจากทำให้แขกรับเชิญแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานแล้วยังทำให้เกิดการผ่อนคลายด้วยต้องหัดเชื่อมโยงความรู้สึกกับเหตุผลเข้าด้วยกัน และต้องไม่กลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง โดยการยอมรับแบบตรงไปตรงมา การรู้เท่าทันตัวเองในขั้นถัดมาช่วยให้เรามองเห็นปัญหา เช่น ถ้า เหนื่อยแล้วยอมรับว่ากำลังเหนื่อย คำตอบที่ได้ตามหลักเหตุผลคือ “ควรพัก” เป็นต้นเพิ่มคำสำคัญที่จะช่วยให้ตั้งคำถามได้ดี คือ เวลา จุดมุ่งหมาย และ วิธีการ อย่างคำว่า “ตอนนี้” “อยากทำอะไร”หรือ “ควรทำอย่างไร” เข้าไปในคำถามด้วย หรือหลังจบคำถามให้เติมคำว่า “สักนิด” เข้าไปหากิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการตั้งคำถาม เช่น ลองทำเรื่องที่ยากลำบาก ปกติผู้เขียนชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เมื่ออ่านถึงหัวข้อนี้ ก็เลยลองอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ โดยตั้งเป้าวันละ 1 บท วันแรก ๆใช้เวลาเป็นชั่วโมง ช่วงหลังอ่านได้เร็วขึ้น และอ่านจบเล่มโดยที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ผู้เขียนคิดว่ามันการลองทำอะไรที่เราคิดว่ายาก มันจะช่วยให้เราเกิดคำถามกับตัวเอง และทำให้เราฝึกหาวิธีที่จะทำให้การแก้ปัญหาสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเรามีทักษะในการตั้งคำถาม เราก็จะสามารถเลือกตั้งคำถามที่ดีได้ และสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้ดีขึ้นได้ น่าจะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในอนาคตในแบบที่ตัวเราต้องการได้ ใครสนใจ ลองอ่านเพิ่มเติมดู มี key message สั้น ๆ และตัวอย่างเสริมความเข้าใจพอสมควร เล่มไม่หนามาก ใช้เวลาอ่านไม่นานค่ะผู้แต่ง : โมงิ เคนอิจิโร่ ผู้แปล : ปาวัน การสมใจ จำนวน 242 หน้า ราคา 240 บาทภาพ 1 และ 4 : SKYภาพ 2 Simone Secci, unsplash /ภาพ 3 Taylor Wilcox, unsplash ภาพปก Towfiqu barbhuiya, unsplash เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !