(ภาพปกถ่ายโดยผู้เขียน)ในช่วงเวลาที่โควิด 19 กำลังระบาด และประชาชนควรอยู่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สมาชิกในครอบครัวจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ยิ่งครอบครัวไหนที่มีเด็กเล็กยิ่งทำให้มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ให้กับเด็ก ผู้ปกครองจึงควรฉวยโอกาสนี้ไว้ ในครั้งนี้เราจึงจะมาแนะนำหนังสือเพื่อเป็นแนวทางในการฝึกทักษะที่จำเป็นและมีประโยชน์กับเด็กเล็กหนังสือ มอนเตสซอรีเริ่มต้นที่บ้าน (0-3 ขวบ) เขียนโดย ฟุจิซากิ ทัตซึฮิโระ แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์แซนด์คล็อคบุ๊คส์ ราคาปก 300 บาท(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหน้า(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ผู้แต่งและผู้แปลเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ มอนเตสซอรี ซึ่งก็คือชื่อของแพทย์หญิงมาเรีย มอนเตสซอรี ผู้มีแนวคิดว่า สภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะกับการเรียนของเด็กจะช่วยส่งเสริมสิ่งที่อยู่ในตัวของเด็ก ในช่วงแรกเกิดถึงสามขวบ เป็นช่วงที่จิตใจของเด็กซึมซับสิ่งแวดล้อมรอบตัวผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การดมกลิ่น การสัมผัสภาพโดย Pixabay มอนเตสซอรีเชื่อว่าเด็กแรกเกิดถึงสามขวบเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าหนังสือแบ่งเป็นสี่บทคือบทที่ 1 การศึกษาแบบมอนเตสซอรี จะดึงศักยภาพของเด็กออกมาให้มากที่สุดบทที่ 2 เลี้ยงลูกวัย 0-1 ขวบยังไง ตั้งแต่ท้องจนคลอดบทที่ 3 เลี้ยงลูกวัย 1-2 ขวบยังไง ช่วงรับรู้ไวต่อการออกกำลังบทที่ 4 เลี้ยงลูกวัย 2-3 ขวบยังไง เปลี่ยนจากวายร้ายวัย 2 ขวบ สู่เด็กที่พึ่งพาตัวเองได้ในบทแรกมีเนื้อหาที่น่าสนใจมากซึ่งผู้ปกครองควรรับรู้ไว้ นั่นก็คือ ช่วงอายุ 0-6 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะ 80% ของความสามารถที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตหลังจากนี้ต่อไปอีกนาน จะสั่งสมขึ้นในช่วง 6 ปีนี้ ดังนั้นช่วงอายุ 0-3 ขวบ จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ปกครองต้องหมั่นเติมความรู้ให้บุตรหลานภาพโดย Pixabay ช่วงอายุ 0-6 ขวบ เป็นช่วงที่สำคัญในการสั่งสมความสามารถในการดำรงชีวิตพอเข้าสู่บทที่ 2 หนังสือจะเริ่มกล่าวถึงบทบาทของพ่อแม่ที่มีต่อพัฒนาการของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนอายุหนึ่งขวบ ทารกจะซึมซับสิ่งต่าง ๆ เหมือนกับการบันทึกภาพ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนที่เคยเป็น ทารกจะรู้สึกไม่สบายใจ พ่อแม่จึงควรระวังหากจะเปลี่ยนแปลงสภาพบ้านครั้งใหญ่ ความรู้จากส่วนนี้ของหนังสือทำให้นึกถึงคำของเฒ่าคนแก่ที่บอกว่า เวลาอยู่แปลกที่ ทารกมักจะงอแง หนังสือแนะนำว่า ทารกจำเป็นต้องเรียนรู้จากของจริง พ่อแม่จึงควรสอนด้วยการชี้ของจริงให้ดู เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ตรง ยกตัวอย่างเช่น อยากให้รู้จักมันฝรั่ง ก็ต้องให้ลองจับและดมกลิ่นดู บทที่ 3 เน้นว่าเมื่อลูกโตและเล่นซนมากขึ้น พ่อแม่ไม่ควรขัดขวาง นอกจากนี้ยังเตือนผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ด้วยว่า อย่าเร่งเด็ก อย่าทำล่วงหน้าไปก่อน อย่าขัด อย่าทำแทน และอย่าปล่อยทิ้งขว้าง ตอนอ่านเราก็ขำนะ เพราะทำทุกอย่างจริง ๆ ภาพโดย Pixabay เมื่อลูกเล่นซน พ่อแม่ไม่ควรขัดขวางนอกจากนี้ในบทที่ 3 ยังย้ำด้วยว่า สิ่งสำคัญสำหรับเด็กวัย 1-2 ขวบ คือ เดิน กำสิ่งต่าง ๆ และใช้ภาษาอย่างคล่องแคล่ว หนังสือจึงแนะนำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยฝึกฝนทักษะ เช่น ฝึกยัดของลงไปในรู เสียบของชิ้นใหญ่ เสียบของชิ้นเล็ก ร้อยผ่านเชือก หมุนลูกข่าง ฯลฯ บทที่ 4 เป็บบทที่น่าสนใจ เพราะเริ่มพูดถึงการเตรียมลูกเข้าโรงเรียน ซึ่งพ่อแม่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมหลายอย่างให้กับลูก เช่น เลิกผ้าอ้อม ฝึกให้เข้าห้องน้ำเอง แต่งตัวเอง กินได้ด้วยตัวเอง ฯลฯ ซึ่งหนังสือได้แนะนำเทคนิคที่น่าสนใจไว้ให้ด้วยกิจกรรมที่เรามองว่าน่าสนใจคือ การฝึกวินัยด้วยการเดินบนเส้น เพียงแค่แปะเทปกาวยาวสามเมตรบนพื้น แล้วให้เด็กฝึกเดินอย่างตั้งใจ เพียงเท่านี้ก็ช่วยทำให้เด็กสงบนิ่งขึ้นได้ และยังเป็นการควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่การเป็นตัวของตัวเองด้วย หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราก็พยายามฝึกลูกด้วยวิธีนี้เช่นกัน เพราะทำง่ายไม่ยุ่งยาก(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหลังหากเด็กเล็กเปรียบได้กับต้นกล้า เราที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีหน้าที่รดน้ำพรวนดิน เพื่อส่งเสริมให้ต้นกล้าเติบโตไปเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง สู้ลมสู้แดดได้โดยไม่หวั่นไหว หนังสือเล่มนี้ให้คำแนะนำที่เหมาะนำมาใช้เป็นแนวทางในการเลี้ยงลูก เพราะไม่ได้บอกให้เราทำอะไรที่ยุ่งยาก และนำเสนอให้สอนเด็กผ่านกิจกรรมรอบตัว ในช่วงเวลาที่ควรอยู่บ้านเพื่อตัวเองและส่วนรวม เราจึงอยากแนะนำให้ครอบครัวที่มีเด็กเล็กลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพื่อเป็นแนวทางดู