หนังสือเล่มนี้เปิดเล่มมาด้วยคำถามตั้งแต่หน้าคำนำว่า “เงินเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน ตำราเรียนทุกเล่มบอกเราเช่นนั้น แต่ในปัจจุบันเงินเป็นมากกว่านั้น มันได้ยกระดับจนกลายเป็นสินค้า ที่คนทั้งโลกพากันซื้อขาย เพื่อหากำไรจากส่วนต่าง … คำถามพื้นฐานก็คือ เงินทำให้เรามีความสุขจริงหรือ การตั้งหน้าตั้งตาหาเงินช่วยให้เราสมหวังกับชีวิตเพียงใด … หากเงินทำให้เรามีความสุข ผู้คนทุกวันนี้ย่อมมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะมีเงินมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่” คำถามเปิดเล่มน่าสนใจไม่ใช่น้อยพอ ๆ กับชื่อหนังสือ เงินหรือชีวิต your money or your life ไปดูกันค่ะว่าทำไมผู้เขียนหนังสือจึงตั้งคำถามเช่นนั้น ชื่อเรื่อง เงินหรือชีวิต เปลี่ยนทัศนคติต่อเงิน สู่อิสรภาพของชีวิต แปลจาก Your money or you are life ผู้เขียน โจ โดมิงเกซ และ วิคกี้ โรบินผู้แปล พล วงศ์พฤกษ์สำนักพิมพ์ มูลนิธิโกมลคีมทองปีพิมพ์ 2547 พิมพ์ครั้งที่ 5 จำนวนหน้า 520 หน้าราคา 350 บาท โจ โดมิงเกซ เป็นนักวิเคราะห์การเงินใน Wall Street วิคกี้ โรบิน เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ New Road Maps ทำงานเพื่อส่งเสริมความเป็นมนุษย์และเพื่ออนาคตที่ยังยืน เขียนกล่าวว่า “แผนที่เส้นทางฉบับเก่าคร่ำคร่าทำให้คุณหลงหลงทางฉันใด การใช้วิธีบริหารเงินที่คิดค้นมาตั้งแต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นสมัยที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังรุ่งเรืองย่อมไม่อาจทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ในเส้นทางการเงินอันซับซ้อนของปัจจุบันฉันนั้น” แค่ข้อความนี้ก็ฟาดโดนใจมากแม่ ภาวะวิกฤตจากโรคระบาดโควิด-19 ที่เรากำลังประสบอยู่นี้ พวกเราคิดว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ความจริงนั้นโลกได้ส่งสัญญาณเตือนเรามานานมากแล้วแต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ เขียนหนังสือได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในหน้าที่ 6 ว่า “โลกส่งสัญญาณเตือนให้เห็นว่าใกล้ถึงขีดจำกัดความสามารถที่จะรองรับผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและคตินิยมบริโภค ปัญหาการขาดแคลนน้ำ การสูญเสียหน้าดิน ภาวะโลกร้อน ชั้นโอโซนเบาบางลง พืชและสัตว์สูญพันธุ์ ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมและขาดแคลน อากาศเป็นพิษ และขยะล้นโลก ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ทำให้เราต้องสงสัยว่าเราและโลกจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่” ผู้เชี่ยวชาญบอกกับเราว่าโรคระบาดโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนาน และหากใครว่าหวังว่าหลังจากภาวะวิกฤตโรคระบาดนี้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเราจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม เลิกหวังไปได้เลย เพราะว่าโลกจะไม่เหมือนเดิม ดังนั้นเราควรอ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ หนังสือเล่มนี้แนะนำวิธีการคิดเกี่ยวกับเงินและการใช้ชีวิต ประการแรกผู้เขียนบอกว่า คำว่า “รวย” หรือ “จน” เป็นสิ่งที่วัดไม่ได้ แต่เป็นความรู้สึกส่วนบุคคล บางคนมีเงิน 500 บาท ในกระเป๋ารู้สึกว่าร่ำรวยแล้ว แต่สำหรับบางคนมีเงิน 500 ล้านบาท อาจจะรู้สึกว่าเขานั้นช่างยากจนเหลือเกินเพราะว่าเขานำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่มี 50,000 ล้านบาท ประการที่สองคุณจะโหมทำงานหนักไปเพื่ออะไร ถ้าทำงานหนักแล้วสิ่งที่ได้รับคือความเครียด จนต้องไปพบจิตแพทย์ ต้องหาเงินสำหรับรักษาภาพลักษณ์ เช่น ต้องซื้อชุดทำงานสวยหรู ต้องมีรถยนต์ราคาแพง มีค่าเดินทางไปทำงาน ค่าอาหารกลางวันที่แสนแพง ค่าบ้านที่หรูหรา ค่าอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อแสดงฐานะทางสังคม บางคนตกแต่งห้องครัวสวยหรู เอาไว้โชว์ยามที่มีแขกมาที่บ้านแต่ไม่เคยใช้จริง สิ่งเหล่านี้เป็นกับดักของชีวิตที่หลายคนพยายามทำงานหนักตลอดชีวิตเพื่อหวังว่าสักวันนึงจะได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย มีอิสรภาพทางการเงิน มีอิสรภาพทางเวลา ตามที่ฝันเอาไว้แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ดังนั้นมุมมองในการใช้ชีวิตและการทำงานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่คุณต้องทำคือให้นิยามคำว่า “งาน คืออะไร” คุณทำงานเพื่อเงินหรือทำงานเพื่อความเพลิดเพลิน เมื่อคุณเลิกยึดโยงงานกับรายได้คุณจะมีโอกาสได้ค้นพบว่างานที่แท้จริงเป็นอย่างไร ชีวิตและความรื่นรมย์อยู่ใกล้แค่เอื้อมความรู้สึกของ ChicDaily เมื่อกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง สิ่งที่ได้รับคือความอิ่มเอมใจ ความมั่นใจในการใช้ชีวิตตามที่ตนเองฝันไว้ ความอิสระในการใช้ชีวิตไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นหรือไม่เปรียบเทียบคนอื่นกับตัวเอง มีความสุขในแบบของตัวเอง ความแข็งแกร่งภายในจิตใจ อ่านเถอะแล้วจะรู้ว่าที่ผ่านมาเราอาจจะใช้พลังชีวิตอย่างสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ใช้ทรัพยากรของโลกอย่างไร้สติ ในภาวะวิกฤตเช่นนี้โลกอาจจะกำลังให้บทเรียนแก่เราว่า เราควรวางแผนเส้นทางการใช้ชีวิตและเงินบนเส้นทางใหม่ได้แล้ว ซึ่งในหนังสือเล่มนี้มีคำตอบที่น่าสนใจ ถ้าสนใจอ่านหนังสือเล่มนี้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ซึ่งมีการจัดพิมพ์ใหม่ในปี 2018 โดยสำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊ค หรือหาอ่านฉบับพิมพ์เก่าได้ในห้องสมุดประชาชนและห้องสมุดมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านหนังสือ แล้วพบกันในบทความต่อ ๆ ไปค่ะ Nirut & Lux ChicDaily ————————-ภาพประกอบทั้งหมด โดยผู้เขียน