เมื่อประมาณปี 2015 เราได้ตัดสินใจแบ็คแพ็คไปพักผ่อนหย่อนใจยังประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก คอนเซ็ปต์ของการเดินทางคือ การได้ไปหย่อนใจกับธรรมชาติให้มากที่สุด เราจึงตัดสินใจเดินทางไปยังชนบททางแถบตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อจะขึ้นไปดูภูเขาไฟลูกหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Mount Aso Mount Aso เป็นภูเขาไฟที่ใช้งานมากที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Aso Kuju ในเขตคุมะโมะโตบนเกาะคิวชู ยอดเขาสูง 1,592 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ประกอบด้วยยอดเขา 5 ยอด คือ Nekodake, Takadake, Nakadake, Eboshidake, Kijimadake โดยมีปล่องภูเขาไฟ Nakadake ซึ่งเป็นปล่องเดียวที่ยังมีควันอยู่ตลอดเวลา ตามที่เราแพลนการเดินทางจากสถานี JR Aso เราจะนั่งรถ Shuttle bus Mt.Aso ไปลงที่ป้าย Aso-san Nishi โดยรถ Shuttle bus จะจอดที่ป้าย Kusasenri ประมาณ 5 นาที ซึ่งเราจำใจที่จะต้องลงที่สถานีนี้ เนื่องจากตอนที่เราไป Mt.Aso นั้น Mt.Aso มีการประทุเล็กน้อย โดยสามารถเห็นได้จากปล่องภูเขาไฟมีควันออกมาอยู่ตลอดเวลา หากใครเข้าไปใกล้แล้วสูดดมเข้าไปอาจเป็นอันตรายได้ เส้นทางไปยังสถานี Aso-san Nishi จึงถูกปิดและไม่สามารถนั่้ง ropeway เพื่อขึ้นไปชมปากปล่องภูเขาไฟได้ (แต่ในช่วงที่ภูเขาไฟไม่มีการประทุ นักท่องเที่ยวสามารถนั่ง Shuttle bus ต่อไปยังสถานี Aso-san NIshi เพื่อขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟได้) โดยระหว่างทางจาก JR Aso ไปยัง Kusasenri ข้างทางรายล้อมไปด้วยต้นไม้แปลกตา หมู่บ้านกลางหุบเขา แม่น้ำลำธาร ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินกับนั่งดูสิ่งเหล่านี้มาก ธรรมชาติ.. .นี่คือสิ่งแรกที่เราคิดในขณะที่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง Shuttle bus ที่กำลังพาเราไปยังจุดหมาย เหมือนกับว่า นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติบำบัด การปล่อยสมองให้ได้พัก คิดเรื่อยเปื่อย ปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอย เมื่อเรามาถึงป้ายสถานี Kusasenri เราได้เจอกับ ทุ่งราบ Nakadake.. . ทุ่งราบ Nakadake เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่สถานี Kusasenri มีบึงน้ำอยู่ตรงกลางและมีกิจกรรมขี่ม้าเพื่อชมรอบๆทุ่งหญ้าไว้บริการนักท่องเที่ยว อีกทั้งจากจุดนี้เรายังสามารถมองเห็นปล่องภูเขาไฟ Aso และภูเขาหญ้ารูปกรวย Komezuka อีกด้วย ฝั่งตรงข้ามทุ่งราบ Nakadake จะเป็นพิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟ หรือ Aso Vacano Museum ภายในจัดแสดงเรื่องราวของภูเขาไฟต่างๆ ในญี่ปุ่น และเมื่อเดินเลยไปอีกจะเป็นป่าสนที่ไกลสุดลูกหูลูกตาให้เราได้นั่งดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ เราไม่ผิดหวังจากการเดินทางครั้งนี้เลย ได้สัมผัสกับธรรมชาติจากต้นไม้ ใบหญ้า แม่น้ำ ลำธาร ภูเขาไฟ หมู่บ้านกลางหุบเขา เต็มอิ่มกับธรรมชาติมากๆ ทำให้แบตเตอรี่ที่โชว์เลข 0 % ก่อนการเดินทาง ตอนนี้กลับพุ่งขึ้นมาเป็น 80% แล้ว เมื่อเราดื่มด่ำกับธรรมชาติจนเต็มอิ่ม เราจึงมายืนรอหน้าป้าย Kusasenri เพื่อเดินทางกลับไปยัง JR Aso หลงทาง.. .สำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ทั้งมือใหม่และมือเก่า คำว่า หลงทางย่อมเป็นเสน่ห์ของการเดินทาง ดังนั้นเราจึงมาหยุดอยู่ ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งในชนบทของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเราไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของสถานี พูดตามตรงเราไม่ค่อยชอบการหลงทางเลย มันเหมือนกับการที่เราออกเดินทางไปตั้งไกลสุดท้ายวนกลับมาอยู่ที่เดิม เสียทั้งแรงกาย แรงใจและเสียทั้งเวลาอีก ความน่ารักของคนเมือง Aso.. . จากการหลงทางเราได้เจอคุณป้าน่ารักๆคนหนึ่ง แกเดินดุ่มๆ เข้ามาหาเราพร้อมไม้กวาดคู่กายอันหนึ่ง ดูเหมือนคุณป้าจะเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ที่สถานีชนบทแห่งนี้ และดูเหมือนแกพยายามที่จะช่วยเราหาทางออกจากการหลงทางครั้งนี้ การสื่อสาร.. .โดยทั่วไปประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ใช้ภาษาทางการอย่างภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และใช่ การสื่อสารกับคุณป้านั้นมีสิ่งที่เรียกว่ากำแพงภาษามากั้นเอาไว้ แต่คุณป้าแกก็ไม่ได้ลดละความพยายามที่จะช่วยคนหลงทางคนนี้เลย คุณป้าเดินหายไปสักครู่และเดินกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นพนักงานอยู่ที่สถานีแห่งนี้ มาถึงตอนนี้ภาษามือแบบงูๆปลาๆควรถูกนำมาใช้ในการสื่อสาร และมันได้ผล พนักงานหญิงเดินเข้าไปข้างในสถานี พร้อมกับเดินมาชี้ที่ป้ายประมาณว่า จะมีรถบัสมารับผู้โดยสารตามเวลาในป้ายนี้ ระหว่างที่เราอยู่ที่สถานี คุณป้ากับพนักงานหญิงคงกลัวเราจะเหงาเนื่องจากมีเราอยู่ที่สถานีคนเดียว ทั้งสองจึงเอาน้ำมาให้พร้อมกับชวนเราคุย บทสนทนา.. . แบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ได้ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เราว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันน่ารักมากๆ แม้มันจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่กลับทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราได้หย่อนใจกับธรรมชาติอีกแล้ว หย่อนใจให้กับที่เรียกว่า ธรรมชาติของคน คุยกันได้สักพักไม่ใหญ่มาก รถบัสก็มาจอด ณ หน้าสถานีชนบทแห่งนี้ตามเวลาในป้ายหน้าสถานี เราจึงโบกมือลาคุณป้าและพนักงานหญิงพร้อมกับจะให้ทิป แต่ก็ถูกคุณป้าปฏิเสธเอาไว้ก่อน เราจึงขอบคุณบุคคลน่ารักทั้งสองพร้อมกับเดินทางกลับด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจากการได้สัมผัสกับเสน่ห์ของการหลงทางครั้งนี้อย่างบอกไม่ถูก แบตเตอรี่ที่มีตัวเลขแปะว่า 80% ตอนนี้มันพุ่งขึ้นเป็น 100% แล้ว การเดินทางมาที่เมือง Aso ครั้งนี้เราได้พักผ่อนหย่อนใจจริงๆ สมกับเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า เมืองแห่งธรรมชาติ เราได้หย่อนใจให้กับธรรมชาติ ใบไม้ ใบหญ้า ภูเขา ลำธาร และยังได้หย่อนใจให้กับธรรมชาติของความน่ารัก ความใจดีของคุณป้าในเมืองแห่งนี้อีกด้วย เราอยากแนะนำคนที่ท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ให้ลองมาที่เมืองแห่งนี้ดูสักครั้ง ลองชัทดาวน์ความวุ่นวาย แล้วออกไปหย่อนใจดู คงเหมือนได้กดรีเฟรชหรือกดปุ่มคลีนอัพระบบคอมพิวเตอร์ ลองดูนะ :) *รูปภาพทั้งหมด ผู้เขียนเป็นผู้ถ่ายภาพดังกล่าวเอง ขอบคุณข้อมูลเกี่ยวกับ Mount Aso : wikipedia Desigh Cover Page จาก Canva.com