จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก "เอฟเอ คัพ" ที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลย้ำแค้นในการดวลจุดโทษ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซีได้อีกครั้ง 6-7 หลังจาก 120 นาทีเสมอกันโดยไม่สามารถยิงกันได้เลย หลังจากที่รอบชิงของรายการก่อนหน้าอย่างคาราบาว คัพก็เป็นลิเวอร์พูลที่ได้แชมป์จากการชนะฎีกาการดวลจุดโทษ และต่อไปนี้จะเป็นบทวิเคราะห์และสถิติหลังเกมที่น่าสนใจของเกมเอฟเอคัพรอบชิง ครั้งที่ 150ก่อนที่เกมรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพนี้จะเริ่มต้นขึ้น ทั้งสองทีมนั้นต่างประสบปัญหาในเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือ "นักเตะบาดเจ็บ" โดยมาเริ่มที่ฝั่งของลิเวอร์พูลที่ในเกมพรีเมียร์ลีกที่บุกไปเฉือนชนะแอสตัน วิลลา ต้องเสียมิดฟิลด์ตัวรับคนสำคัญอย่างฟาบินโญ่ที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณแฮมสตริง ส่วนทางด้านเชลซีนั้นนอกจากที่ต้องลุ้นอย่างหนักในเรื่องความฟิตของเอ็นโกโล ก็องเต้ ยังต้องมาลุ้นให้มาเตโอ โควาซิชฟิตทันลงแข่ง หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าปะทะที่อันตรายของแดเนียล เจมส์จากเกมกลางสัปดาห์ที่บุกไปชนะลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งสุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ผ่านความฟิต เรามาดูไลน์อัพ 11 ผู้เล่นตัวจริงกันเลยครับสำหรับลิเวอร์พูลมาในระบบ 4-3-3ผู้รักษาประตู : อลิสซอน เบ็คเกอร์, กองหลัง 4 คน : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิมา โกนาเต้, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และแอนดี้ โรเบิร์ตสัน, กองกลาง 3 คน : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ติอาโก อัลคันทารา และนาบี เกอิต้า และกองหน้า 3 คน : หลุยส์ ดิอาซ, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่สำหรับเชลซีมาในระบบ 3-4-2-1ผู้รักษาประตู : เอดูอาร์ เมนดี้, กองหลัง 3 คน : เทรฟโวห์ ชาโลบาห์, ธิอาโก ซิลวา และอันโตนิโอ รูดิเกอร์, กองกลาง 4 คน : รีซ เจมส์, มาเตโอ โควาซิช, จอร์จินโญ่ และมาร์กอส อลอนโซ และตัวรุกข้างหน้า 3 คน : เมสัน เม้าท์, โรเมลู ลูกากู และคริสเตียน พูลิซิส เกมครึ่งแรกเริ่มเกมมา 10 นาทีเป็นฝั่งของลิเวอร์พูลที่ทำการโหมบุกอย่างหนักใส่เชลซี มีทั้งจังหวะที่ดิอาซหลุดฝั่งซ้ายก่อนปาดเข้ามาข้างใน แต่น่าเสียดายที่ติอาโก้เข้าไม่ถึงบอล และอีกจังหวะที่น่าเสียดายที่ดิอาซหลุดไปยิงที่ฝั่งซ้ายแต่ติดเซฟเมนดี้ ก่อนที่ชาโลบาห์ตามมาสกัดทิ้งได้ ช่วงแรกดูเหมือนว่าเกมนี้เป็นของหงส์แดง แต่พอฝั่งสิงห์บลูตั้งเกมได้ พวกเขาก็สร้างอันตรายให้กับเกมรับของคู่แข่งได้เหมือนกัน นาทีที่ 23 เป็นโอกาสของพูลิซิสที่มีโอกาสรับบอลจากเม้าท์ก่อนที่จะยิงเฉียดเสาออกไป และอีก 5 นาทีต่อมาก็เป็นโอกาสของเชลซีอีกครั้ง เมื่ออลอนโซได้หลุดเข้าไปยิงก่อนที่จะติดเซฟอลิสซอน เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 33 แฟนลิเวอร์พูลต้องช็อคกับการที่โม ซาลาห์มีอาการบาดเจ็บและต้องถูกเปลี่ยนตัวออก โดยเป็นดิโอโก โชต้าลงมาเล่นแทน หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ต่างมีจังหวะหวาดเสียวให้แฟนบอลได้ลุ้นทั้งคู่ ก่อนที่ครึ่งแรกจะจบด้วยผลเสมอเกมครึ่งหลังเริ่มเกมครึ่งหลังมาไม่ถึง 5 นาที เชลซีได้มีโอกาสทำประตูถึง 3 ครั้ง เริ่มที่อลอนโซที่ยิงหลุดเสาไป ตามด้วยพูลิซิสที่ยิงไปติดเซฟอลิสซอน และปิดท้ายด้วยจังหวะที่น่าได้สุดๆ ของเชลซี อลอนโซยิงฟรีคิกบริเวณกรอบเขตโทษด้านขวาแต่ก็เสียดายที่ยิงไปชนคาน พลาดโอกาสขึ้นนำไปอย่างน่าเสียดาย มาถึงโอกาสเหน่งๆ ของลิเวอร์พูลบ้างในนาทีที่ 52 เมื่อดิอาซมีช่องส่องบริเวณหน้ากรอบเขตโทษแต่บอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียว นาทีที่ 69 ก็เป็นดิอาซอีกแล้วที่มีโอกาสปั่นโค้งแต่บอลโค้งไม่พอ หลุดออกหลังไป และแล้วก็มาถึงจังหวะที่น่าได้สุดๆ ติดๆ กันของฝั่งลิเวอร์พูลบ้าง นาทีที่ 83 ดิอาซรับบอลจากมาเน่ก่อนที่จะสับไกยิงแต่บอลเจ้ากรรมดันไปชนเสาเหลี่ยมนอกออกไป และจังหวะต่อมาในนาทีที่ 84 เจมส์ มิลเนอร์ที่ลงมาเป็นตัวสำรองแทนเกอิต้าเปิดบอลไปเสาสองก่อนที่ร็อบโบ้จะวิ่งเข้ามายิงแต่บอลดันไปชนเสา พลาดโอกาสขึ้นนำไปจาก 2 จังหวะ ภายใน 2 นาที ก่อนที่ช่วงเวลาที่เหลือของครึ่งหลัง ทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรได้ จบ 90 นาทีเสมอกันที่ 0-0ต่อเวลาพิเศษ 30 นาทีเริ่มครึ่งแรกของช่วงต่อเวลาพิเศษ เดอะ ค็อปต้องใจหล่นไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง เมื่อคล็อปป์ทำการเปลี่ยนตัวฟาน ไดจ์คออกและส่งโจเอล มาติปลงสนามมาแทน เซอร์ไพรส์ไม่ได้มีเพียงแค่ฝั่งลิเวอร์พูลเท่านั้น ทูเคิ่ลก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนเชลซีเหมือนกันเมื่อนาทีที่ 106 เขาเปลี่ยนรูเบน ลอฟตัส-ชีคลงสนามมาแทนพูลิซิส ก่อนที่จะเปลี่ยนลอฟตัส-ชีคออกไป และส่งรอสส์ บาร์คลีย์ลงสนามมาแทนในนาทีที่ 119 ส่วนรูปเกมในช่วงต่อเวลาพิเศษนั้นไม่มีจังหวะหวือหวาอะไรให้ได้ลุ้นกัน เนื่องจากสภาพร่างกายของนักเตะที่เหนื่อยล้าทั้ง 2 ทีม ทำให้เล่นกันอย่างระมัดระวัง ไม่พลาดทั้งคู่ดวลจุดโทษคนแรกของทั้ง 2 ทีมอย่างอลอนโซ และมิลเนอร์นั้นยิงเข้าไปไม่มีปัญหา ก่อนที่คนที่ 2 ของเชลซีอย่างกัปตันทีมเซซาร์ อัซปิลิกูเอต้าจะยิงพลาดหลุดเสาออกไป ส่วนฝั่งลิเวอร์พูลเป็นติอาโกยิงเข้าไปไม่พลาด ทำให้ลิเวอร์พูลได้เปรียบพลิกเป็นฝ่ายขึ้นนำ แต่ 3 คนหลังจากนั้นของเชลซีทั้งเจมส์, บาร์คลีย์ และจอร์จินโญ่ ยิงเข้าไปทั้งหมด ตัดภาพมาที่ฝั่งของลิเวอร์พูล คนที่ 3 และ 4 เป็นเทรนต์และโรแบร์โต้ เฟอร์มิโนก็ยิงเข้าไปไม่พลาด แต่คนสุดท้ายของทีมอย่างมาเน่ที่ถ้าหากยิงเข้าไป ทีมจะเป็นแชมป์ทันที แต่สุดท้ายเจ้าตัวยิงไปถูกเมนดี้ที่เป็นเพื่อนร่วมทีมชาติเซเนกัลเซฟได้ ทำให้เกมการดวลจุดโทษกลับมาเริ่มต้นกันใหม่และเป็นการยิงแบบ Sudden Death ที่ใครพลาดคือจบเลย เริ่มต้นคนที่ 6 ของทั้งสองทีมด้วยฮาคิม ซิเยค และโชต้าก็ยิงเข้าไปทั้งคู่ มาถึงคนที่ 7 เมสัน เม้าท์รับหน้าที่นี้แต่เจ้าตัวยิงไปติดเซฟของอลิสซอนที่พุ่งไปถูกทาง ด้านคนที่ 7 ของลิเวอร์พูล คือคอสตาส ซิมิคาสที่ลงมาแทนโรเบิร์ตสัน ก่อนที่แบ็คซ้ายชาวกรีกจะยิงเข้าไป ส่งลิเวอร์พูลได้แชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8 วิเคราะห์รูปเกมเป็นเกมที่ทั้งสองทีมนั้นสู้กันได้อย่างสูสีเหมือนทุกครั้งที่เจอกันในซีซั่นนี้ โดยซีซั่นนี้ทั้งคู่เจอกันไปแล้วก่อนหน้าเกมนี้ 3 ครั้ง และทั้งหมดจบเกมในเวลาการแข่งขันทั้ง 90 นาทีในลีก และ 120 นาทีในนัดชิงคาราบาว คัพด้วยผลเสมอ ซึ่งเกมรุกของทั้งสองทีมนั้นมีจุดเด่นที่เกมริมเส้นที่เริ่มต้นจากวิงแบ็ค โอกาสสวยๆ แต่ละครั้งของทั้งคู่ล้วนมาจากเกมริมเส้น ส่วนในแดนกลางนั้นก็ต่างคุมเกมคุมจังหวะให้ตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยที่ติอาโกและจอร์จินโญ่จะเป็นคีย์แมนสำคัญในแดนกลางของทีมตัวเอง ทางด้านเกมรับนั้นก็ช่วยกันได้ดีทั้งสองทีม ถึงแม้ว่าจะมีพลาดให้คู่แข่งมีโอกาสยิงอยู่บ้างและอย่างที่บอกไปว่าเกมรุกริมเส้นที่เริ่มต้นจะวิงแบ็คของทั้งคู่นั้นคือจุดเด่น วันนี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ามันคือเรื่องจริง โดยเฉพาะฝั่งขวาที่ทั้งเทรนต์และเจมส์นั้นทำผลงานได้ดีทั้งคู่ เกมรับและเกมรุกนั้นทำช่วยทีมได้ตลอด โดยเฉพาะเกมรับของเทรนต์ที่ดูเหมือนเป็นจุดอ่อนของเจ้าตัวมาตลอด แต่วันนี้เขาช่วยทีมในจังหวะคับขันได้อยู่ตลอด เคลียร์บอลทิ้งในจังหวะอันตรายตลอด ในส่วนของเจมส์นั้นก็ไม่แพ้กันมีจังหวะบล็อคลูกยิงไป 1 ครั้ง และดักบอลสำเร็จไป 3 ครั้ง ช่วยเรื่องเกมรับของทีมได้เป็นอย่างดี ในส่วนคู่เซ็นเตอร์ หรือกองหลังตัวกลาง 3 คนของลิเวอร์พูลในวันนี้นั้นก็ทำผลงานได้ดีตามมาตรฐาน โกนาเต้สามารถรับมือลูกากูได้ตลอดทั้งเกม ส่วนสองลูกพี่ใหญ่ที่ถูกเปลี่ยนแทนกันและกันอย่างฟาน ไดจ์ค และมาติปก็ทำผลงานได้ดีตามมาตรฐาน ฝั่งเชลซีนั้นก็สุดยอดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะซิลวาที่ถึงแม้อายุจะ 37 ปีแล้วแต่ก็คอยคุมเกมรับ และเป็นพี่เลี้ยงให้ชาโลบาห์ได้เป็นอย่างดี ส่วนรูดิเกอร์ก็สอดซ้อนอลอนโซในการจัดการเกมรุกด้านขวาของหงส์แดงได้เป็นอย่างดีเช่นกันในส่วนของเกมรุกของทั้งคู่นั้นดูเหมือนจะมีฝั่งละ 1 คนที่ฟอร์มจะยังไม่เข้าตาซักเท่าไหร่ โดยในฝั่งของลิเวอร์พูลนั้นคนที่ทำผลงานยังไม่ดีเท่าที่ควรนั่นก็คือ โชต้าที่ลงมาแทนซาลาห์ ตั้งแต่กลับมาจากอาการบาดเจ็บก็เหมือนว่าเจ้าตัวยังหาฟอร์มเดิมไม่เจอ เกมนี้ลงมาก็ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ แต่ยังดีที่ยิงจุดโทษเข้า ส่วนในฝั่งของเชลซีนั้นดูเหมือนจะเป็นเม้าท์ที่ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะเจ้าตัวไม่สามารถสร้างสรรค์เกมได้เท่าที่ควร และเป็นคนยิงจุดโทษพลาดทำให้ทีมพ่ายแพ้ในที่สุด ส่วนกองหน้าตัวเป้าของทั้งสองทีมนั้นก็พอใช้ได้ ไม่ดีไม่แย่ ด้านมาเน่นั้นทำหน้าที่เป็น False 9 ที่ลงมาเชื่อมเกม ล้วงบอล ช่วยเกมรับ และพาบอลขึ้นหน้าได้อยู่บ่อยครั้ง ส่วนลูกากูนั้นก็ใช้รูปร่างที่สูงใหญ่ในการพักบอลและโหม่งชงให้เพื่อนได้อยู่บ่อยครั้งเช่นกัน แต่ในภาพรวมเกมรุกของทั้งสองทีมนั้น ถือว่าใช้โอกาสเปลืองและจบสกอร์ไม่ลงกันเอง ซึ่งทั้งสองทีมนั้นยิงเข้ากรอบได้เพียง 2 ครั้งจากโอกาสยิงมากกว่า 10 ครั้งของทั้งคู่สถิติที่น่าสนใจ10+ - เป็นระยะห่างของช่วงเวลาที่จอร์แดน เฮนเดอร์สันนั้นลงเล่นนัดชิงเอฟเอ คัพ โดยมีระยะห่าง 10 ปี(2012 และ 2022) ต่อจากคนก่อนหน้าอย่างคือเชสก์ ฟาเบรกาส (2005 และ 2017) และในการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพครั้งนี้ ทำให้เจ้าตัวเป็นกัปตันทีมคนแรกของลิเวอร์พูลที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด 6 รายการ37 ปี 234 วัน - คืออายุของธิอาโก ซิลวา ทำให้เจ้าตัวเป็นนักเตะเอ้าท์ฟิลด์ (ไม่ใช่ผู้รักษาประตู) ที่อายุมากที่สุดที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง นับตั้งแต่ที่เซอร์ สแตนลีย์ แมทธิว กองหลังของแบล็คพูลเคยทำไว้ในปี 1953 ในตอนที่มีอายุ 38 ปี2 - ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศได้ทั้ง 2 รายการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2000-2001 ซึ่งในฤดูกาลนั้นพวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ในฟุตบอลยูโรปได้เช่นกัน (ยูฟ่า คัพ หรือยูโรป้าในปัจจุบัน) และสมัยนี้เป็นสมัยที่ 8 ของสโมสรเป็นรองเพียงแมนยูที่ทำได้ 12 สมัย และอาร์เซนอล 14 สมัยทางด้านเยอร์เกน คล็อปป์ก็เป็นผู้จัดการทีมคนที่ 2 ที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และลีกสูงสุดด้วยทีมจากอังกฤษเพียงทีมเดียว ต่อจากเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนยู)0-0 - เป็นครั้งแรกที่ของนัดชิงเอฟเอ คัพที่ไม่มีประตูหลังเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ นับตั้งแต่นับที่ดิดิเยร์ ดร็อกบา ยิงให้เชลซีในนาทีที่ 116 ในเกมชิงที่กับแมนยูในปี 20073 - เป็นครั้งที่ 3 ของแชมป์เอฟเอ คัพต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ โดย 2 ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในฤดูกาล 2004-2005 (อาร์เซนอล vs แมนยู) และ 2005-2006 (ลิเวอร์พูล vs เวสต์แฮม ยูไนเต็ด) โดยที่ทั้ง 2 ครั้งหน้านี้ทีมที่ได้แชมป์คือทีมที่มีอันดับสูงกว่าในตารางคะแนนลีก (อาร์เซนอล และลิเวอร์พูลตามลำดับครั้งก่อนหน้า)และเป็นสถิติที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่สำหรับเชลซีที่เข้าชิงรายการนี้ 3 ครั้ง และก็แพ้ทั้ง 3 ครั้งติดต่อกัน (19-20 vs อาร์เซนอล, 20-21 vs เลสเตอร์ และล่าสุด 21-22 vs ลิเวอร์พูล) ซึ่งเป็นทีมแรกนับตั้งแต่นิวคาสเซิลเคยพ่ายแพ้ในนัดชิงเอฟเอ คัพติดต่อกัน 3 ครั้งที่เข้าชิง (1974, 1998 และ 1999)สุดท้ายนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับแฟนบอลลิเวอร์พูลด้วยนะครับที่ทีมรักสามารถคว้าแชมป์มาได้แล้ว 2 รายการ เหลืออีกเพียง 2 รายการก็จะได้รู้กันแล้วว่าลิเวอร์พูลจะเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ทั้ง 4 รายการที่ทำการแข่งขันได้หรือไม่ และต้องขอแสดงความเสียใจกับแฟนบอลเชลซีด้วยนะครับ การพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่น่าผิดหวังและเจ็บปวดเสมอ ยิ่งเป็นการแพ้ในนัดชิงยิ่งเจ็บปวดเข้าไปใหญ่ แต่พวกคุณก็สุดยอดเช่นกันที่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างทีมรักของตัวทีมที่ต้องเจอและฝ่าฟันมรสุม อุปสรรคที่ถาโถมใส่ทีมตลอดทั้งฤดูกาล พวกคุณสุดยอดมากๆ ทั้งทีมฟุตบอลและกองเชียร์เลยครับ แล้วกลับมาสู้กันใหม่อีกครั้งในฤดูกาลหน้านะครับ สู้ๆ ครับเครดิตรูปภาพขอบคุณรูปภาพจาก Official Facebook ของรายการแข่งขันเอฟเอ คัพ และ Official Facebook ของลิเวอร์พูล และเชลซีภาพปกที่ 1 / ภาพปกที่ 2 / ภาพปกที่ 3ภาพประกอบ 1 / ภาพประกอบ 2 / ภาพประกอบ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8 / ภาพประกอบที่ 9 / ภาพประกอบที่ 10 / ภาพประกอบที่ 11 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมตช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !