แม้ว่าการลงทุนจะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่อันที่จริงแล้วใกล้ตัวกว่าที่คิดนะคะ แต่แหม! บางครั้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับการลงทุนก็ดู น่าพิศวง งงงวย ซะเหลือเกิน!! วันนี้ดิฉันเลยจะขออาสา พาทุกท่านไปทำความรู้จัก กับการลงทุนแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์ มือใหม่กันค่ะเรามาเริ่มกันเลยนะคะ!! ก่อนอื่นเลย เราต้องมารู้จักกับ ตลาดการเงินกันก่อนค่ะ ตลาดการเงินเนี่ย จะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนกับตลาดทั่วไปๆเลยหล่ะค่ะ คือเอาไว้แลกเปลี่ยนสินค้า และ เงินตรา ระหว่าง“ผู้ขาย” ที่มีสินค้า แต่ต้องการเงิน กับ“ผู้ซื้อ” ที่มีเงิน แต่ต้องการสินค้า ซึ่งในตลาดการเงิน จะมีนักแสดงหลัก 2 ท่าน ท่านแรกคือ DSU (Deficit spending unit) หรือ “ผู้ต้องการเงินทุน” ซึ่งจะมารับบท ผู้ขายนั่นเองค่ะ โดยส่วนมากแล้ว DSU จะเป็นบริษัทต่างๆที่ต้องการเงินมาลงทุน เปิดบริษัท เปิดสาขา หรือ อยู่ในช่วงขาดดุล จึงต้องออกตราสารมาขาย เพื่อระดมทุนนั่นเอง ซึ่งตราสารที่ออกมาขาย ก็จะมีทั้ง ตราสารทุนหรือ ตราสารหนี้แล้วแต่ว่าบริษัทนั้นๆ ต้องการออกตราสารใด หรือบางบริษัทก็จะมีการออกควบคู่กันไป ส่วนนักแสดงคู่ขวัญ ก็คือ SSU (Surplus spending unit) หรือ “ผู้มีเงินทุน” ซึ่งจะมารับบทเป็น ผู้ซื้อ หรือนักลงทุน ที่มีเงิน และต้องการที่จะได้รับผลตอบแทนที่ทำให้เงินทุนที่มีนั้นงอกเงยขึ้นนั่นเอง ทีนี้ค่ะ สองคนนี้เค้าจะมาเจอกัน และทำการแลกเปลี่ยน สินค้าและ เงินแก่กัน จนเกิดการลงทุนขึ้น ซึ่ง“สินค้า” ที่ว่า ก็คือ ตราสารทางการเงิน หรือ จะเรียกว่า สินทรัพย์ทางการลงทุนก็ได้ค่ะ สินทรัพย์ทางการลงทุน จะแบ่งออกเป็น เป็น 5 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ตราสารทุน ตราสารหนี้ กองทุนรวม ตราสารอนุพันธ์ และ การลงทุนทางเลือกอื่นๆ (เช่น ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์) สำหรับบทความนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ 2 สินทรัพย์กันก่อน คือ ตราสารทุน ตราสารหนี้ นะคะ ตราสารทุน (Equity securities) เป็นตราสารที่ผู้ซื้อจะมีฐานะเป็น “เจ้าของ”ร่วมกับเจ้าของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์มาขาย ซึ่งสัดส่วนการเป็นเจ้าของ จะขึ้นอยู่กับ จำนวนหุ้นที่เราถืออยู่ อารมณ์จะคล้ายๆกับ เราไปลงเงินหุ้นกับเพื่อน เปิดธุรกิจ ถ้าเราลงเงินเยอะ เราก็มีสิทธิออกเสียงตัดสินใจในเรื่องต่างๆของกิจการมากกว่า และเมื่อกิจการมีกำไร เราก็จะได้ส่วนแบ่งจำนวนมากกว่าด้วย ส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการนี้ เราจะเรียกว่าเงินปันผล (ซึ่งในแต่ละปีจะได้รับไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของกิจการ) ซึ่งตราสารทุนที่เรารู้จักกันดีก็คือหุ้นต่างๆ เช่นหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ นั่นเอง (เวลาที่คนเค้าพูดกันว่าเล่นหุ้น หมายถึงตัวนี้ค่ะ) ตราสารหนี้ (Bond) ผู้ซื้อ จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่ ออกตราสารหนี้มาขายเพื่อระดมทุน หากเราซื้อตราสารหนี้ เราจะไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องใดๆในบริษัท เพราะ เราแค่ให้บริษัทนั้นๆ “กู้ยืมเงิน”เท่านั้น ซึ่งผลตอบแทนที่เราได้รับ ก็คือ ดอกเบี้ย ในอัตราที่คงที่สม่ำเสมอนั่นเอง สินทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้(ออกโดยเอกชน)หรือพันธบัตรต่างๆ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล (ออกโดยรัฐบาล เพราะในบางครั้งรัฐบาลก็เกิดการชอตเงินได้เช่นกันค่ะ คือในกรณีที่การคลัง เกิดสภาวะขาดดุล คือรายจ่ายมากกว่ารายรับ รัฐบาลก็จะออกตราสารหนี้ออกมาระดมทุนค่ะ ถ้าขาดดุลระยะสั้นๆ จะออก ตั๋วเงินคลัง แต่ถ้าดูท่าว่าจะขาดดุลยาวนาน จะออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลค่ะ สาเหตุที่รัฐบาลจะออกเฉพาะ ตราสารหนี้เท่านั้น ก็เนื่องจากว่า รัฐบาลสามารถยอมให้ประชาชนเป็น “เจ้าหนี้”ได้ แต่จะไม่สามารถแบ่งสัดส่วนการเป็นเจ้าของให้ประชาชนมาร่วมเป็น “เจ้าของ”รัฐบาลได้นั่นเอง ความแตกต่างระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าเราซื้อตราสารทุน จะเหมือนกับเราซื้อตั๋วเดินทางลงเรือ ลำหนึ่งที่จะออกเดินทางล่องไปในมหาสมุทร ซึ่งเมื่อเราลงเรือลำเดียวกับเขาแล้ว หากเรือลำนั้นแล่นไป เจอเกาะมหาสมบัติ(เปรียบกับช่วงเศรษฐกิจดี) เราที่อยู่บนเรือลำนั้นก็จะร่ำรวยไปด้วย แต่หากระหว่างทางโชคร้ายเจอ เรือโจรสลัดดักปล้น(เปรียบกับช่วงเศรษฐกิจแย่) เราก็จะถูกปล้นไปด้วยนั่นเอง แต่หากเราซื้อตราสารหนี้ เราจะเพียงจ่ายเงินเป็นนายทุนให้เรือสามารถ ออกล่องทะเลได้ และแค่เพียงยืนรออยู่ที่ท่าเรือ โดยเมื่อครบกำหนดสัญญา เรือลำที่เราเลือก จะต้องนำผลตอบแทนมาให้กับเราตามจำนวนที่ตกลงไว้ โดยที่เราไม่ต้องคอยลุ้นว่า ระหว่างออกเดินทางเรือลำนี้จะเผชิญกับสถานการณ์ใดมาบ้าง เรียกได้ว่าคลายกังวล เพราะอย่างไรก็ตามเราก็จะได้รับผลตอบแทน “คงที่” แน่นอน เมื่อนึกภาพแบบนี้ จะเห็นได้ชัดว่า การซื้อตราสารทุน เราจะต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากกว่า ตราสารหนี้ เพราะผลตอบแทนจะไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับ วัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ข้อดีก็คือ หากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจที่ดี เราก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงด้วย เรียกได้ว่า “อาจจะปังหรืออาจพังก็ได้” ส่วนข้อดีของตราสารหนี้ก็คือ ไม่ว่าอย่างไร ผลตอบแทนที่เราได้ก็คงที่ ถึงแม้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำก็ไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้เราสบายใจ กินอิ่ม นอนหลับสบายแน่นอน แต่คงตอบไม่ได้ว่า ตราสารทุน หรือตราสารหนี้ ตราสารไหน ดีกว่ากัน เพราะต้องขึ้นอยู่กับ ความพอใจและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนแต่ละคนด้วย และไม่ว่าจะซื้อตราสารไหน สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องเลือกเรือให้ถูกลำ คัดเลือก กัปตันที่เชี่ยวชาญในการเดินเรือ และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่า จะได้รับผลตอบแทนตามที่เราคาดหวังเอาไว้นั่นเอง