หากจำกันได้ในช่วงก่อนวิกฤตโควิค-19 นั้น ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศเราพึ่งพา 4 สาขาหลักที่ค้ำชูเกื้อหนุนกันให้เก้าอี้แห่งเสถียรเศรษฐกิจไม่ล้มโซเซไปมา ได้แก่ ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลาดทุน การส่งออก และภาคบริการที่มาจากการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยในส่วนของการท่องเที่ยวนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า ส่วนใหญ่คือนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมาการปรับตัวของประเทศเรานั้น จะเห็นได้ชัดเจน จากระบบการรับและจ่ายเงิน ในสถานประกอบการใหญ่น้อย แม้กระทั่งร้านค้าในตลาดสดชุมชนของภาคเหนือหลายแห่ง ยังมีป้ายรับการใช้บริการอำนวยความสะดวกของนักท่องเที่ยวชาวจีน ทั้ง Alipay ทั้ง wechat pay ที่เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) รวมทั้งบัตรเครดิตจากธนาคารของประเทศจีนมากมาย ทั้งนี้เพราะคนจีนเข้าถึงและคุ้นเคยกับการใช้เงินแบบไม่ต้องใช้กระดาษมานานมากแล้ว และในเดือนพฤษภาคมนี้ รัฐบาลจีนให้นำระบบเงินดิจิทัลสกุลใหม่มาใช้ เริ่มจากทดลองใช้ใน 4 เมืองไฮเทคใหม่ ได้แก่ เฉิงตู เซิ่นเจิ้น สงอัน และซูโจว จากการที่จะจ่ายเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็น ดิจิทัลหยวน (Digital Yuan) ทีนี้ หากจะคิดเผื่อไปว่า เมื่อวิกฤตโควิค-19 ปลดคลายแล้วมีนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยในบ้านของเรา แน่นอนว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องย่อมต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน เราคงเห็นการก้าวทันในการให้บริการรับและจ่ายเงินสกุลดิจิทัลหยวนนี้ด้วยเช่นกัน ทีนี้มารู้จักกันว่า ดิจิทัลหยวนคืออะไร ดิจิทัลหยวน ถือเป็นผลผลิตต่อเนื่องของ Blockchain หรือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ ที่รัฐบาลจีน โดยธนาคารกลางของจีน ให้การค้ำประกัน มีมูลค่าและสามารถใช้ชำระหนี้ (การจับจ่ายซื้อของได้) ไม่ต่างจากธนบัตร (Bank Note) และเหรียญ (Coil) แต่ไม่ต้องพกพาให้ยุ่งยาก และสามารถใช้ได้จริง ใช้ได้ทุกที่แม้จะไม่มีสัญญานอินเตอร์เนตก็ตาม ที่นี้มาทำความเข้าใจกันดิจิทัลหยวนกันมากขึ้น หากจะนำระบบการเงินจากระบบสกุลดิจิทัลมากล่าวถึง หลายคนอาจนึกถึงคำว่า Cryptocurrency หรือ เงินสกุลดิจิทัล อย่าง Bitcoin,Ethereum ที่จะว่าไปเงินเหล่านี้ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่เป็นตัวเลขในคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่า หลายคนอาจนึกถึงคำว่า กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) อย่าง True Wallet ที่มีมูลค่าจับจ่ายใช้สอยในร้าน 7-11 จ่ายและให้บริการของ True ได้ นอกจากนั้นยังมี Alipay ,wechat pay ที่ล้วนสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ด้วยเช่นกัน - ดิจิทัลหยวน ไม่ใช่ Cryptocurrency เพราะเป็นเงินที่ออกโดยรัฐบาล จากธนาคารกลางแห่งประเทศจีน ใช้ได้เสมือนการพกเงินหยวนทั่วไป ไม่ต่างจากธนบัตร (Bank Note) และเหรียญ (Coil) แต่อยู่ในรูปของดิจิทัล มีค่าคงที่ (Stable) ไม่แปรเปลี่ยน 1 หยวนดิจิทัล มีค่าเท่ากับ 1 หยวนเงินจริง ในขณะที่เงิน Cryptocurrency อย่างเช่น Bitcoin มีค่าแปรเปลี่ยนได้ - ดิจิทัลหยวน สามารถใช้แทนเงินได้โดยตรง ไม่ต่างจากธนบัตร แตกต่างจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น True Wallet ,Alipay หรือ wechat pay ที่ใช้ได้เฉพาะในเครือข่ายที่เชื่อมและยอมรับในแต่ละเครือข่ายกันเท่านั้น ใช้ข้ามเครือข่ายกันโดยตรงไม่ได้ ในขณะที่ดิจิทัลหยวนเสมือนเงินสด จะใช้กับการซื้อขายโดยตรง หรือจะใช้กับเครือข่ายค่ายใดก็ได้ - ดิจิทัลหยวน ถือเป็นเงินสด ร้านค้าหรือบุคคลใด ไม่สามารถปฎิเสธได้ - ดิจิทัลหยวน สามารถใช้จ่ายและชำระหรือรับจากกันและกันได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีระบบอินเตอร์เนตก็ตาม โดยใช้การเตะกันของโทรศัพท์ (NFC) - ดิจิทัลหยวน ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องสำแดงตัวตนผู้ใช้ ไม่ต้องแจ้งที่มาที่ไปของเงิน ต่างจาก Cryptocurrency ,E-Wallet ,บัตรเครดิต ที่จะรู้ว่า เงินของเราไปไหน มาจากไหน ดังนั้น การใช้ดิจิทัลหยวน จึงเสมือนการใช้เงินสดที่ไม่จำเป็นต้องมีร่องรอยที่มาที่ไปของเงินนั่นเอง - ดิจิทัลหยวนนั้น ประเทศจีนตั้งใจที่จะให้มีการใช้ที่แพร่หลายในประเทศจีน ในส่วนที่เป็นคู่ค้ากับประเทศจีน ในส่วนที่ประชากรจีนได้ใช้แทนธนบัตรและเหรียญที่มีต้นทุนในการผลิตนั่นเอง สำหรับคนไทยเรานั้น การตื่นรู้และเท่าทันกับการเข้ามาของดิจิทัลหยวนถือเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลจีนตั้งใจที่จะให้ดิจิทัลหยวนเป็นเงินตราสำคัญของโลก เริ่มจากยุทธศาสตร์ที่การใช้จ่ายระหว่างคนภายในประเทศจีนเองก่อน เริ่มที่การค้าปฎิสัมพันธ์ระหว่างจีน เริ่มจากพ่อค้าในตลาดนำเข้าและส่งออก เริ่มจากตลาดเงินและตลาดทุนตราสารในกระดานต่างประเทศของแต่ละประเทศ และเริ่มจากนักท่องเที่ยวจีนที่จะกระจายไปเยือนยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกในที่สุด แน่นอนว่า ประเทศไทยเราเองก็เช่นกัน ที่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รู้จัก ได้เรียนรู้ ได้ตื่นรู้อย่างเท่าทันด้วยนั่นเอง