"หัวใจจะวาย" ใช่ครับ นี่คืออาการของผมตอนที่ทีมรักของผมอย่างลิเวอร์พูลต้องเจอกับเชลซีในฤดูกาล 2021-2022 นี้ เพราะเจอกันทีไร สู้กันสนุก สูสีกันทุกนัดเลย และใครจะไปเชื่อ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ที่ฤดูกาล 2021-2022 นี้ ที่เชลซี พบ ลิเวอร์พูลไปแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง แบ่งเป็นในพรีเมียร์ลีก 2 นัด และแบ่งเป็นในนัดชิงฟุตบอลถ้วยในประเทศอีก 2 นัด โดยไล่เรียงจากนัดชิงถ้วยคาราบาว คัพ และที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ก็คือนัดชิงถ้วยเอฟเอ คัพ และใช่ครับคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ผลการแข่งขัน (ใน 90 นาที) เสมอกันทั้ง 4 นัด ซึ่งบทความนี้ผมจะพาไปย้อนความทรงจำตลอด 3 นัดที่เจอกันก่อนหน้า และอีก 1 นัดที่เพิ่งจบลงไปเรามาเริ่มรีแคปกันที่นัดแรกของซีซั่นที่ทั้ง 2 ทีมเจอกันเลยนะครับ โดยเป็นเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 3 ของฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลต้องเปิดแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของเชลซี แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกทีมล่าสุด โดยที่ 2 เกมลีกก่อนหน้านั้นทั้งคู่ก็เก็บชัยชนะรวดมาได้ทั้คู่ โดยที่เกมเริ่มมาเพียง 22 นาทีก็เป็นฝ่ายของทีมเยือนที่ได้ประตูออกนำไปก่อนจากลูกโหม่งของไค ฮาแวร์ตซ์ และหลังจากนั้นหงส์แดงก็ทำการโหมบุกอย่างหนัก แต่ทั้งเกมรับของเชลซีและเอดูอาร์ เมนดี้ก็ช่วยป้องกันไม่ให้เสียประตูไปได้ แต่สุดท้ายความพยายามของลิเวอร์พูลก็มาประสบความสำเร็จจนได้ในนาทีแรกของการทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรก โดยที่ลิเวอร์พูลได้ลูกจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของรีซ เจมส์ พร้อมกับใบแดงที่เจ้าตัวได้รับไปจากการทำแฮนด์บอลในครั้งนี้ และเป็นโม ซาลาห์ไม่พลาดในการสังหารจุดโทษให้ทีมตีเสมอในนาที 45+5 จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 1-1 และตลอดระยะเวลาครึ่งหลังก็จะเป็นลิเวอร์พูลที่แทบจะพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียว แต่เมนดี้ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เซฟช่วยทีมแล้วนับไม่ถ้วน แต่ใช่ว่าเชลซีจะสู้ไม่ได้เลย เพราะพวกเขาก็มีจังหวะสวนกลับและมีโอกาสทำประตูเช่นกันแต่ก็ยังไม่สามารถส่งลูกบอลไปกองก้นตาข่ายไม่ได้ สุดท้ายจบเกมไปด้วยผลเสมอ บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นทั้งคู่ลิเวอร์พูล vs เชลซี 1-1 : คลิปไฮไลท์ พรีเมียร์ลีกมาต่อกันเลยที่นัดที่ 2 ที่ทั้งคู่ต้องเจอกัน โดยครั้งนี้เป็นคราวของเชลซีที่ต้องเปิดบ้านอย่างสแตมฟอร์ด บริดจ์ต้อนรับลิเวอร์พูลบ้าง โดยก่อนเริ่มเกมนี้ดูเหมือนปัญหาจะเกิดขึ้นที่ฝั่งของทีมเยือนซะมากกว่า เพราะผู้เล่นเกมรับคนสำคัญขาดหายไป 3 คนอย่างอลิสซอน เบ็คเกอร์, โจเอล มาติป และแอนดี้ โรเบิร์ตสัน โดย 2 คนแรกต้องหายไปเนื่องจากปัญหาการโควิด ส่วนในรายของร็อบโบ้ติดโทษแบนจากใบแดงในนัดที่เจอกับสเปอร์ส และอีกคนที่หายไปคือ โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ที่ก็ติดโควิดเช่นกัน ปัญหาไม่จบแค่นั้น เพราะนอกจากตัวนักเตะแล้ว ตัวของเยอร์เกน คล็อปป์ก็ติดโควิดเช่นเดียวกัน ทำให้ต้องพลาดการคุมทีมข้างสนาม และเป็นผู้ช่วยอย่างเป๊ป ลินเดอร์สที่ต้องทำหน้าที่คุมข้างสนามแทน ส่วนในรายชื่อของนักเตะก็จะเป็นควิวีน เคลเลเฮอร์, อิบราฮิมา โกนาเต้ และคอสตาส ซิมิคาสที่ลงแทน 3 คนแรกที่ผมได้เอ่ยถึงไปและใช่ครับ เกมนี้ก็ทำหัวใจคนดูจะวายอีกแล้วเช่นกัน โดยที่เริ่มเกมมาได้ไม่ถึง 10 นาทีดีนักก็เป็นซาดิโอ มาเน่ที่ยิงประตูให้หงส์แดงออกนำไปก่อน ก่อนที่ในนาทีที่ 26 จะเป็นซาลาห์มายิงประตูให้ทีมหนีห่างออกไปเป็น 0-2 โดยเกมนี้ที่ดูเหมือนจะเข้าทางทีมเยือนแต่แล้วเจ้าบ้านก็มาตามตีไข่แตกได้ในนาทีที่ 42 จากลูกยิงไกลสุดสวยของมาเตโอ โควาซิช และสุดท้ายเชลซีก็มาตามตีเสมอได้ในนาทีที่ 45+1 จากลูกยิงของคริสเตียน พูลิซิส ทำให้จบครึ่งแรกเสมอกันที่ 2-2 สุดท้ายตลอด 45 นาทีในครึ่งก็ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเวลาการแข่งขันเสมอกันไป 2-2 เชลซี vs ลิเวอร์พูล 2-2 : คลิปไฮไลท์ พรีเมียร์ลีกทำให้สรุปแล้วการแข่งขันในลีกที่ทั้ง 2 ทีมเจอกันจบลงด้วยเสมอทั้ง 2 นัด และเป็นสองนัดที่ตื่นเต้น เร้าใจสุดๆ สมกับเป็นบิ๊กแมตช์จริงๆความจริงเจอกันในลีกก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะเป็นการต่อสู้ที่เหนื่อยทั้งนักเตะและคนดูจริงๆ แถมสนุก ตื่นเต้นทั้ง 2 นัดในลีกเลย แต่เหมือนทั้ง 2 ทีมเป็นทีมซาดิสต์ เจอกันในลีกยังทรมานการเต้นของหัวใจของแฟนบอลยังไม่พอ ทั้งคู่ต้องโคจรมาเจอกันอีกในรอบชิงของถ้วยลีก คัพ หรือคาราบาว คัพ แต่ครั้งนี้จะเป็นการไปเตะที่สนามกลางอย่างสนามเวมบลีย์ โดยเชลซีมาในชุดใหญ่เต็มสูบ จัดเต็มทุกตำแหน่ง ส่วนทางด้านของลิเวอร์พูลต้องมาเจอข่าวร้ายก่อนเริ่มเกม เพราะติอาโก อัลคันทารา กองกลางคนสำคัญของทีมที่มีชื่อใน 11 ตัวจริง ดันมีอาการบาดเจ็บขณะที่กำลังอบอุ่นร่างกาย คล็อปป์จึงจำเป็นต้องส่งนาบี เกอิต้าลงสนามแทน และในตำแหน่งผู้รักษาประตู คล็อปป์ก็ทำการส่งเคลเลเฮอร์ลงสนามเป็นตัวจริงแทนอลิสซอน เพราะในถ้วยนี้เคลเลเฮอร์เป็นตัวจริงมาตลอดและใช่ครับ ตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 90 นาที และช่วงต่อเวลาอีก 30 นาที (รวม 120 นาที) ทั้ง 2 ทีมไม่สามารถทำสกอร์กันไม่ได้ แต่ทั้ง 2 ทีมนั้นก็มีจังหวะที่สามารถส่งลูกบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้แล้วแต่ก็ทุกจับล้ำหน้าทุกครั้ง ซึ่งทีมที่ดูจะเจ็บช้ำที่สุดก็คือเชลซีที่ยิงเข้าไปแล้วถึง 3 ครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธจากการล้ำหน้าทั้ง 3 ครั้ง แต่ไฮไลท์ของเกมก็มาเกิดขึ้นในช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลา เพราะโธมัส ทูเคิ่ลทำการส่งตัวเกปา อาร์ริซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูชาวสเปนลงสนามมาแทนเมนดี้ เพื่อเซฟจุดโดยเฉพาะตลอด 120 นาทีที่ว่าทั้งคู่เชือดเฉือนกันอย่างสุดมันส์แล้ว ในช่วงของการดวลจุดโทษทั้ง 2 ทีมก็สู้กันได้อย่างสนุกเร้าใจไม่แพ้กัน เพราะทั้ง 5 คนแรกของทั้ง 2 ทีมยิงจุดโทษเข้าทั้งหมด เข้าสู่ช่วงการยิงจุดโทษแบบ Sudden Death ที่ต้องยิงกันอีก 5 คน ทั้ง 2 ทีมก็ยิงเข้ากันหมดทั้งคู่ คราวนี้ในเมื่อ 10 แรกของทีมยิงเข้ากันหมด ไม่มีใครพลาดเลยก็ต้องมาถึงคิวของผู้รักษาประตูแล้ว โดยที่เป็นเคลเลเฮอร์ทำการยิงก่อนซึ่งสุดท้ายก็ไม่พลาด มาถึงเกปาที่ทูเคิ่ลส่งลงสนามมาเพื่อเซฟลูกโทษ แต่เหมือนจะลงมาเพื่อเซฟจุดโทษเท่านั้น เพราะในการยิงจุดโทษ เกปาดันยิงจุดโทษพลาด ยิงโด่งข้ามคานไปไกล ทำให้ส่งลิเวอร์พูลเป็นแชมป์คาราบาว คัพ หรือลีก คัพประจำฤดูกาล 2021-2022 อย่างสนุกและตื่นเต้น และเป็นแชมป์สมัยที่ 9 ของหงส์แดงกับถ้วยลีก คัพเจอกัน 3 ครั้งก็เหมือนจะยังไม่พอ ราวกับว่าถ้าหัวใจแฟนบอลทั้ง 2 ทีมยังไม่วายก็จะไม่พอกัน การเจอกันอีกครั้งของทั้งสองทีมก็เกิดขึ้นอีกแล้ว โดยนับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบหนึ่งฤดูกาล โดยครั้งนี้ทั้งคู่ยังต้องเดินทางกลับมาเจอกันที่เวมบลีย์อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้จะเป็นฐานะคู่ชิงของฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่างเอฟเอ คัพ ซึ่งครั้งนี้เป็นการแข่งขันของรายการนี้ครั้งที่ 150 แล้วมารอบชิงคราวนี้ ลิเวอร์พูลก็ยังมีข่าวร้ายก่อนเริ่มเกมอีกแล้ว เพราะฟาบินโญ่ กองกลางตัวรับคนสำคัญ ได้รับบาดเจ็บที่แฮมสตริงในเกมที่พบกับแอสตัน วิลลาในพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทำให้ต้องถอยจอร์แดน เฮนเดอร์สันลงไปเล่นในตำแหน่งของฟาบี้แทน แต่ทางด้านเชลซีของทูเคิ่ลก็มีปัญหานักเตะบาดเจ็บให้ปวดหัวไม่แพ้กัน เนื่องจากก่อนเกมต้องลุ้นเรื่องความฟิตของทั้งเอ็นโกโล ก็องเต้ และมาเตโอ โควาซิช สองกองกลางของทีม ซึ่งรายของโควาซิชได้รับบาดเจ็บในเกมคืนวันพุธที่พบกับลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ทั้ง 2 คนก็ผ่านการทดสอบความฟิตมาได้ โดยที่ก็องเต้เป็นสำรอง และโควาซิชเป็นตัวจริงโดยเริ่มช่วงต้นเกมมาเป็นลิเวอร์พูลที่ทำได้ดีกว่า ทำการโหมบุกใส่เชลซีอย่างหนัก และมีโอกาสได้ประตูอยู่หลายครั้งแต่พลาดไป แถมก็มีเซฟของเมนดี้ด้วย แต่พอเมื่อเชลซีตั้งเกมของตัวเองได้ ก็เริ่มเป็นเชลซีเหมือนกันที่มีช่วงเวลาในการโหมบุกใส่ลิเวอร์พูล มีจังหวะที่อลิซอนต้องออกแรงเซฟเหมือนกัน ซึ่งจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่แฟนหงส์แดงไม่อยากให้เกิดซึ่งนั่นก็คืออาการบาดเจ็บ โดยครั้งนี้เป็นข่าวร้ายของโม ซาลาห์ที่บาดเจ็บและต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 33 และเป็นดิโอโก โชต้าลงสนามมาแทน ภาพในนัดชิงยูซีแอลปี 2018 ที่พ่ายให้กับเรอัล มาดริดกลับมาหลอกหลอนซาลาห์และแฟนหงส์แดงอีกครั้ง และจบครึ่งแรกแบบไร้สกอร์เริ่มครึ่งหลังมากลายเป็นเชลซีที่มีโอกาสก่อนจากทั้งมาร์กอส อลอนโซและคริสเตียน พูลิซิส จนมาถึงนาทีที่ 48 ที่ถือว่าเป็นจังหวะที่น่าได้สุดๆ ของเชลซี จากการยิงฟรีคิกที่ฝั่งขวาของอลอนโซที่อลิซอนต้องออกแรงเซฟปัดไปชนคาน เกมดำเนินเข้าสู่ช่วงนาทีที่ 83 และ 84 เป็น 2 นาทีที่ลิเวอร์พูลควรได้ประตูสุดๆ เพราะเป็นโอกาสที่ทั้งหลุยส์ ดิอาซ และโรเบิร์ตสันยิงชนเสาทั้งคู่ พลาดโอกาสขึ้นนำไปทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งถ้าหากยิงเข้าไปครั้งใดครั้งนึงนั่นอาจจะเป็นประตูชัยให้ทีมเลยก็ว่าได้ โดยตลอด 90 นาทีของทั้งสองทีมนั้นถือว่ามีโอกาสยิงประตูแบบเน้นๆ ทั้งคู่ แต่ก็พลาดไปหมด สุดท้ายจบ 90 นาทีก็เสมอกันอีกแล้วที่ 0-0เข้าสู่ช่วงต่อเวลา คล็อปป์ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการถอดเวอร์จิล ฟาน ไดจ์คออก และส่งมาติปลงสนามมาแทน เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ในช่วงต่อเวลาการเปลี่ยนตัวของฟาน ไดจ์คว่าเซอร์ไพรส์แล้ว การเปลี่ยนตัวของทูเคิ่ลเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่า เพราะทูเคิ่ลทำการส่งรูเบน ลอฟตัส ชีคลงมาแทนพูลิซิสในนาทีที่ 106 และก็เปลี่ยนลอฟตัส ชีคออกในนาทีที่ 120 โดยส่งรอสส์ บาร์คลีย์มาแทน สร้างความงุนงงให้แฟนบอลเป็นอย่างมาก และสรุปสุดท้ายต่อเวลาอีก 30 นาที ทั้งสองทีมก็ยิงกันไม่ได้อีก ต้องไปฎีกายิงจุดโทษกันอีกแล้ว ซ้ำรอยนัดชิงคาราบาว คัพอีกแล้ว แต่ครั้งนี้สำหรับเชลซีแตกต่างออกไป เพราะว่าครั้งนี้เกปาไม่ได้ถูกลงมาเพื่อเซฟจุดโทษตอนดวลจุดโทษในคาราบาว คัพก็ตื่นเต้น มาถ้วยเอฟเอ คัพนี้ก็ตื่นเต้นอีกเหมือนกัน เพราะกัปตันทีมเชลซีอย่างเซซาร์ อัซปิลิกูเอต้าที่รับบทเป็นคนยิงจุดโทษคนที่ 2 ยิงพลาดชนเสาออกไป ทำให้ลิเวอร์พูลได้เปรียบทันที หลังจากนั้นอีก 3 คนของเชลซีก็ไม่พลาดเลย จนมาถึงคนที่ 5 คนสุดท้ายของลิเวอร์พูลซึ่งรับหน้าที่สังหารโดยซาดิโอ มาเน่ ต้องมาดวลกับเพื่อนร่วมทีมชาติอย่างเมนดี้ โดยถ้าหากมาเน่ยิงเข้าไปลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์เอฟเอ คัพทันที แต่เหมือนเกมการยิงจุดโทษยังสนุกไม่พอ หรืออาจจะเพราะด้วยความที่เมนดี้รู้ทางมาเน่ ทำให้เมเน่ยิงไปติดเซฟของเมนดี้ ช่วยต่อชีวิตเชลซีในการยิงจุดโทษไปอีก เข้าสู่ช่วง Sudden Death เชลซีก็ออกนำไปก่อนแต่ลิเวอร์พูลก็ยิงตามตีเสมอในคนที่ 6 เข้าสู่คนที่ 7 เมสัน เม้าท์เป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่เม้าท์ดันยิงไปติดเซฟของอลิสซอน ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาได้เปรียบ และถ้าหากคนที่ 7 ของลิเวอร์พูลยิงไม่พลาดก็จะเป็นแชมป์เอฟเอ คัพทันที ซึ่งคนที่รับหน้าที่สังหารก็คือคอสตาส ซิมิคาส และสุดท้ายซิมิคาสก็ไม่พลาด ยิงไปคนละทางกับเมนดี้ พาลิเวอร์พูลเถลิงบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นแชมป์เอฟเอ คัพสมัยที่ 8 ของสโมสร และหยุดการรอคอยแชมป์นี้อย่างยาวนาน 16 ปี หลังจากสมัยล่าสุดที่ได้คือในปี 2006 ที่ครั้งนั้นลิเวอร์พูลก็ดวลจุดโทษชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และคว้าแชมป์มาครองได้เช่นกันอย่างที่บอกไปครับ ฤดูกาลนี้การเจอกันของหงส์แดงและสิงโตน้ำเงินครามนั้นเป็นอะไรที่สนุก สูสี ตื่นเต้นทุกครั้ง แล้วมันเป็นอะไรที่บ้าระห่ำสำหรับแฟนบอลสุดๆ เพราะต้องเจอกันถึง 4 ครั้ง และตลอด 90 นาทีของการแข่งขันทั้ง 4 ครั้งนั้นก็จบลงด้วยผลเสมอทั้ง 4 ครั้ง แถมความจริงเกือบจะได้เจอกัน 5 ครั้งแล้ว เพราะในถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทั้งคู่อยู่กันคนละฝั่งคนละสายในการจับสลาก ทำให้มีโอกาสที่ทั้งคู่จะได้ไปเจอกันในรอบชิงของยูซีแอล แต่สุดท้ายก็มีเพียงลิเวอร์พูลที่เข้าไปถึงรอบชิง ส่วนเชลซีก็อกหัก ตกรอบไปอย่างน่าเสียดายสุดๆ จากน้ำมือของเรอัล มาดริดที่ก็ทะลุเข้าชิงไปเจอลิเวอร์พูล ซึ่งผมว่าถ้าลิเวอร์พูลและเชลซีเจอกันในรอบชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกอีก คงจะได้มีแฟนๆ ทั้งสองทีมมีอาการหัวใจวายจริงแน่ๆสุดท้ายนี้ผมในฐานะแฟนลิเวอร์พูลก็ต้องขอแสดงความยินดีกับเดอะ ค็อปทั่วโลกด้วยนะครับ ที่เราได้ฉลองแชมป์ถ้วยที่ 2 กันแล้ว ซึ่งหวังว่าเราจะได้ฉลองกันอีกอย่างน้อยหนึ่งถ้วยนะครับ เพราะหวังว่าในยูซีแอลเราจะล้างแค้นมาดริดได้สำเร็จ ส่วนในพรีเมียร์ลีกจะไปแช่งให้แมนซิตี้พลาดคงเป็นเรื่องยากสุดๆ แล้ว เพราะฟอร์มของพวกเขาสุดยอดจริงๆ อย่างน้อยก็อยากเห็นเฮนโด้ซอยเท้าชูถ้วยแชมป์ 3 รอบ หรือทริปเปิ้ล แชมป์ในฤดูกาลนี้ส่วนแฟนเชลซี ผมก็ขอแสดงความเสียใจและขอเป็นกำลังใจด้วยนะครับ การแพ้ในรอบชิงชนะเลิศเป็นอะไรที่เศร้าและเสียใจสุดๆ อยู่แล้ว แต่ที่หนักของแฟนเชลซีคือ เข้าชิงเอฟเอ คัพ 3 ครั้งล่าสุดก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปทั้งหมดเลย แต่ผมอยากบอกว่าพวกคุณสุดยอดมากๆ เลยครับ เพราะการเจอกัน 4 ครั้งตลอดระยะเวลา 9 เดือนของฤดูกาลการแข่งขัน มันเป็นการแข่งขันที่เป็นการแข่งขันที่คุณภาพสุดๆ ไปเลยครับ คุณภาพทั้งตัวนักเตะและผู้จัดการทีม เป็นการสู้ที่สมศักดิ์ศรีมากๆ ทุกครั้งที่เจอกันมันมีแต่ความสนุก ความมันส์ ความเร้าใจ ผลัดกันรุก-รับตลอด กินกันไม่ลงตลอดในเวลาการแข่งขันเลยหวังว่าในฤดูกาลหน้าเป็นไปได้ถ้าเจอกันอีก อย่าให้ถึงขั้นแฟนบอลจะต้อง "หัวใจจะวาย" อีกเลยนะครับ แค่ปีนี้นี้ก็สนุกและหัวใจทำงานหนักเพียงพอแล้วครับเครดิตรูปภาพขอบคุณรูปภาพจาก Official Facebook ของรายการแข่งขันพรีเมียร์ลีก, คาราบาว คัพ, เอฟเอ คัพ และ Official Facebook ของลิเวอร์พูล และเชลซีภาพปก 1 ภาพปก 2ภาพประกอบ 1 / ภาพประกอบ 2 / ภาพประกอบ 3 / ภาพประกอบ 4 / ภาพประกอบ 5 / ภาพประกอบ 6ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมตช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !