สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ก็เป็นอีกหนึ่งบทความที่ผมจะพาท่านไปเที่ยวพร้อมกัน หลายบทความก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เป็นที่น่าสนใจ ของใครหลาย ๆ คน ทุกครั้งที่ผมจะไปเที่ยวในแต่ละสถานที่นั้น จะต้องมีการวางแผนการเดินทาง ดูวันเวลาที่เหมือสมและลงตัว ดูเส้นทางการเดินทาง รวมทั้งศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่ผมจะไป เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเดินทาง จะได้ไม่เสียเวลา นั่นคือสิ่งที่ผมทำเป็นประจำ ในการจะออกไปเที่ยวแต่ละครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันไม่คาดคิดและไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นการผิดพลาดล้วน ๆ แล้วทำให้เกิดทริปท่องเที่ยวครั้งนี้ เรื่องราวที่จะเป็นอย่างไรไปกันเลย เริ่มจากที่นี่ ท่าเรือปากคลองตลาด ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมมักจะไปนอนค้างที่ห้องพี่ที่อยู่ ฉะเชิงเทรา ซึ่งก็เดินทางโดยรถตู้ จากตลาดมีนบุรี ใช้เวลาไม่นาน ก็ถือว่าไปกลับได้ไม่ลำบากอะไร หลังจากกลับจากฉะเชิงเทราขาเข้ากรุงเทพมหานคร ผมดันเลือกที่จะลองนั่งรถทัวร์ อยากลองนั่งแบบสบาย ๆ ไม่ต้องอัดกันในรถตู้เหมือนกับตอนไป ก็ซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นมาจนถึงเขตกรุงเทพมหานคร จากนั้นพอลงจากรถที่ป้ายหน้าตลาดมีนบุรี ก็มองหารถเมล์ที่จะต่อกลับมาที่พักซึ่งปกติต้องเป็นรถที่ไปจอดที่ป้ายโบ้เบ้ แล้วต้องไปต่ออีกสายที่หัวลำโพง ผมนั่งสาย 60 และเผลอหลับไปจนสุดปลายทาง ซึ่งสายนี้จะผ่านตลาดโบ้เบ้พอดี แต่ในระหว่านั่งรถก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เลยป้ายโบ้เบ้ไปแล้ว และรถคันนี้สุดปลายทาง หรือสุดป้ายที่ ปากคลองตลาด แล้วคนก็ลงกันหมด ลืมบอกไปผมพักอยู่ที่บางแค แต่ผมไม่เคยนั่งรถเมล์มาทางสายนี้เลย จึงไม่รู้ว่าจะต้องต่อรถยังไง แต่รู้แหละว่า ถ้าจะไปที่บางแค ต้องไปต่อรถที่ป้ายหน้าสนามหลวง ซึ่งต้องข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง หรือต้องไปลงที่ป้ายวงเวียนใหญ่แทน ผมเลยเดินไปซื้อตั๋วเรือ มี 2 อย่างคือ เรือธรรมดา กับเรือด่วนเจ้าพระยา ซึ่งถ้าเรือธรรมดาจะต้องรอนาน เลยเลือกที่จะนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา พอนั่งเรือ รอไม่นานนักเรือก็ออก เรือนี้จ่ายทีเดียวนั่งตลอดทั้งสาย จะลงตรงไหนก็แล้วแต่เรา ทีแรกผมก็กะว่าจะนั่งข้ามไป แล้วไปลงตรงท่าศิริราช เพราะถ้าลงตรงนั้น ผมก็สามารถต่อรถเมล์ สาย 146 หรือ 81 เพื่อไปลงที่ตลาดบางแคได้เพียงต่อเดียว พอเรือออกไปได้สักพัก ผมก็มองเห็นวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมไม่รู้ว่าเป็นวัดอะไร เห็นแต่ไกลก็ดูสวยดีเลยตัดสินใจลงท่านั้นกระทันหัน โดยลืมคิดไปว่าแล้วจะกลับไปบางแคยังไง พอลงเรือมาก็รีบเดินเข้าไปในบริเวณวัด ซึ่งที่นี่เขามีจัดงานอะไรไม่รู้ คนมากันเยอะมาก ตรงที่ผมลงเรือนั้น น่าจะเป็นส่วนของด้านหลังวัด และผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องเดินไปตรงจุดไหนของวัด จึงจะออกไปข้างหน้าวัดเพื่อไปต่อรถได้ ก็อาศัยถามทางจากคนที่มาเที่ยวทำบุญที่วัดแห่งนี้ ตอนนี้เริ่มหลงทาง วัดนี้ใหญ่พอสมควร เดินมาเจอรูปปั้นจระเข้ ไม่รู้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แต่เห็นมีคนมายกมือไหว้ บางคนก็เอาเหรียญบาทมาว่างตามบริเวณลำตัวของรูปปั้น เดินไปเดินมาได้สักพักก็เจออีกตัว คือในบริเวณวัดนี้ มีรูปปั้นสัตว์หลายชนิด ก็คงมีประวัติที่เกี่ยวข้องกับวัด แต่ผมก็ไม่ได้สอบถามใครแต่อย่างใด แต่ตอนนั้นแค่อยากออกไปหาที่ต่อรถ แต่ก็เดินวนไปหาทางออกไม่เจอ เลยกลับมาท่าเรือ และก็นั่งเรือต่อ ผมไม่รู้ว่าเรือวิ่งไปทางตรงข้ามกับ ที่ผมตั้งใจไว้ รู้ตัวอีกทีเรือมาถึงท่าเรือ ท่าช้าง ผมก็คิดในใจเอายังไงดี ไหน ๆ ก็มาแล้วผมเลยเดินเที่ยวต่อ เพราะก็ยังเป็นเวลาช่วงเช้า ยังไม่ร้อนเท่าไร ก็เดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ สนามหลวงก่อนละกัน เพราะก็เป็นวันหยุดอยู่แล้ว กลับไปห้องก็ไม่มีอะไรทำ จากนั้นเดินไปเรื่อย ๆ แวะถ่ายภาพตามจุดต่าง ๆ ก็ดูสวยงามดี ทั้ง ๆ ที่เราก็นั่งรถผ่านมาทางนี้บ่อย ๆ ไม่เคยสังเกตุ แต่พอได้ใช้เวลาอยู่กับบริเวณนี้นาน ๆ ก็ทำให้เราได้เห็นความงามตามสถานที่รอบ ๆ ได้มากขึ้น ผ่านกระทรวงกลาโหม ก็ได้หยุดยืนมองความสวยงามของอาคารที่ออกแบบได้อย่างลงตัว บวกกับการใช้สี ตามยุคสมัยโมเดิร์น ผมก็พึ่งมองเห็นรายละเอียดของตัวอาคาร ว่ามันสวยขนาดนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ผ่านตาบ่อยแต่ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไร พอเดินผ่านมาทางนี้ ก็นึกขึ้นมาอยากไหว้พระที่วัดพระแก้ว เห็นหลายคนถือพวงมาลัยที่จะนำไปไหว้พระ ก็เลยถามว่าซื้อมาจากไหน เขาตอบว่าจากศาลหลังเมือง ผมก็งงที่นี่มีศาลหลักเมือง ศาลหลักเมืองตั้งอยู่แถวนี้ด้วยเหรอ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย พอรู้แบบนี้มีเหรอจะพลาด รีบเดินไปหาซื้อพวงมาลัยเพื่อที่จะไปกราบไหว้ศาลหลักเมืองทันที ห่างจากกระทรวงกลาโหม ไม่ไกลนัก ผมก็มาถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ตอนนี้ก็เป็นช่วงสาย ๆแล้ว เริ่มมีแดด ทำให้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ในนี้มีผู้คนแห่กันมันเพื่อที่จะไหว้ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมากมาย ต้องต่อแถวรับของที่จะถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ก็มีขายในนี้ด้วย ราคาก็จะถูกกว่าด้านนอกที่ขายตามริมถนน ก่อนเข้ามานะ ใครที่จะไหว้แนะนำ ให้เดินมาตัวเปล่าแล้วค่อยมาซื้อดอกไม้ธูปเทียนข้างใน เมื่อเข้ามาด้านในก็ ทำการปิดทอง และผูกผ้า ไม่รู้เขาเรียกว่าผ้าอะไร ที่ใช้ไปผู้กกับหลักเมือง ที่ตั้งไว้ด้านในของศาล มีการเติมน้ำมันเทียน เพื่อต่อดวงชะตาต่ออายุ ใครที่ไม่เคยไป ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ขั้นตอน การไหว้หรือขั้นตอนการบูชาต่าง ๆ เพราะในนั้นมีคนที่คอยแนะนำตลอดเวลา ไม่รู้อะไร เขาก็จะแนะนำให้ทำตามขั้นตอนต่าง ๆ สำหรับผมก็นั่นแหละครับไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ก็อาศัยมีคนคอยแนะนำให้ เราก็แค่ทำตาม ก่อนเสร็จพิธี ก็ต้องตีฆ้องชัยกันหน่อย เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเรา เขาว่าถ้าใครตีเบา ๆ แล้วเสียงก้องกังวาลนั้น จะเป็นผู้ที่โชคดี มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน มีความเป็นอยู่ที่ดี มีคนนับหน้าถือตา เขาบอกมาว่าอย่างนั้นนะ อันนี้ก็อยู่ที่ความเชื่อส่วนบุคคล สำหรับผมแล้วผมเลือกที่จะเชื่อ แต่ในสิ่งที่ดี ๆ แบบนี้ เท่านั้น อันไหนเป็นเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ผมก็เลือกที่จะไม่เชื่อ เสร็จจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ผมก็ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย ก่อนจะนั่งรถต่อกลับไปยังที่พักที่บางแค ก็เลยแวะเข้าไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว มาถึงนี่แล้วไม่เข้าวัดพระแก้วคงไม่ได้ ผมเลยใช้เวลาในช่วงสั้น ๆ เพื่อเดิน ดูบริเวณด้านใน ดูความสวยงามของศิลปะฝาผนัง ที่วาดออกมาได้อย่างสวยงามสมคำร่ำลือ โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเกี่ยวกับงานศิลปะไทยแบบนี้อยู่แล้ว ผมเข้าไปไหว้พระแก้วมรกตไม่ได้ เพราะคนเยอะมาก ไม่รู้เขามีพิธีอะไร ก็เลยเดินออกมาดูภาพวาดบริเวณรอบ ๆ ดูเสร็จก็คิดว่าจะกลับเลย เพราะก็เริ่มร้อนมากแล้ว คนก็เยอะ เวลาก็ใกล้จะเที่ยง เริ่มหิว ก็เดินออกมา กว่าจะถึงป้ายรถเมล์ ก็เสียพลังงานไปพอสมควร ทั้งแดดทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แต่ก็ถือว่า การลงรถเมล์ผิดครั้งนี้ ทำให้ได้ไปในที่ ที่ไม่เคยไป ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้เห็นตรอกซอกซอยที่เราไม่เคยผ่าน ได้เห็นเส้นทางการเดินทาง ในแบบที่เราไม่คุ้นเคย อย่างการนั่งเรือ ทำให้เรารู้ว่ายังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เคยทำ ได้ลองทำในสิ่งที่ผิดจากสิ่งที่ทำประจำ ก็มีความสุขไปอีกอย่าง วันนี้การหลงทางอาจทำให้ผมเสียเวลา แต่ถ้าเวลานั้นนำมาซึ่งความสุขในอีกแบบหนึ่ง ผมว่ามันก็คุ้ม สวัสดี ภาพบทความทั้งหมดโดย : จุง ชาวไร่