สวัสดีครับ ผมจะมาเล่าเรื่องราวการลดน้ำหนัก แบบไม่เครียดของผมให้อ่านกัน ซึ่งประสบการณ์ในการลดน้ำหนักครั้งนี้ ผมใช้ระยะเวลาการเดินทางทั้งสิ้น 3 เดือน ลดได้ 10 กิโลกรัม ผมพยายามลดน้ำหนัก 2 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกของการลดน้ำหนักของผม น้ำหนักของผมเคยมากสุดที่ 106 กิโลกรัม และครั้งแรกที่ผมเริ่มลดน้ำหนัก ผมลดด้วยการเข้าฟิตเนสและจ้างเทรนเนอร์ ใช้เวลาราวๆ 2 เดือนครึ่ง ลดได้ 11 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการออกที่ทรหดมาก เหนื่อยมาก ผมใช้เวลาในการเข้าฟิตเนสเฉลี่ย 4 วัน ต่อสัปดาห์ จนเหลือ 95 กิโลกรัม ณ ตอนนั้น เทรนเนอร์จะแนะนำเรื่องการกินอาหาร ซึ่งผมก็ไม่สามารถทานได้ตามที่เค้าบอกหรอก เพราะมันค่อนข้างยาก ผมใช้วิธีเลือกทานมากขึ้น แต่ก็ยังกินเมนูปกติ พวกอาหารตามสั่งทั่วๆไป แต่เลือกทานมากขึ้นแค่นั้นเอง หลังจากนั้นผมก็หยุดการออกกำลังกายอย่างถาวร ฮ่าๆ ระยะเวลาผ่านไป 2 ปี ที่ผมหยุดการออกกำลังกาย และแน่นอนครับ ผมกลับไปกินอย่างสบายใจ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น โดยพฤติกรรมการกินที่ทำร้ายตัวเองมาตลอดคือ กินปริมาณเยอะ และกินจุกจิกทั้งวัน ชานมไข่มุกแทบทุกวัน ร้านไหนดี ร้านไหนเด็ดจัดหมด คือชอบมากจริงๆ ไม่ต้องลดความหวาน ใส่มาเต็มๆ ร้านไหนมีตัวเลือกให้เพิ่มความหวานได้คือต้องเพิ่ม กินคาวต้องกินหวานอ่ะเนอะ จนสุดท้ายน้ำหนักผมก็กลับไปที่เดิมอีกครั้ง จนครั้งนี่ตัดสินใจว่า ต้องลดแล้วหล่ะ ก็เลยฮึดสู้อีกครั้ง แต่จะยังไม่ออกกำลังกายนะ ยังไม่พร้อม เหนื่อยอ่ะ สิ่งที่ผมทำคือปรับพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด พฤติกรรมการกิน ยังกินปกติอยู่ในช่วงแรกแต่ว่างดอาหารเสริมคาวหวานหลังอาหารมื้อหลัก งดของจุกจิกมากขึ้น แต่ก็มีบ้าง ก็กินมาตลอดอ่ะเนอะ จะหักดิบเลยน่าจะงานหินพอสมควร ผ่านไปซักระยะก็เริ่มกินอาหารคลีนมากขึ้น ทั้งซื้อ และทำเองบ้าง โดยหาสูตรจากอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ได้กินคลีนทุกวันนะครับ ผมก็ยังมีเมนูอาหารทั่วๆไปที่ผมชอบกิน อยากกินอยู่ ผมก็ยังกินปกติ โดยใน 1 วันผมจะกินอาหารปกติทั้วไปแค่ 1 มื้อเท่านั้น โดยกินเป็นมื้อเช้า เพราะผมคิดว่าการกินมื้อเช้าที่แคลอรี่สูงๆ(เอาแต่พอดีนะครับ ไม่ใช่กินข้าวแล้วตามด้วยหมูปิ้ง) เป็นมื้อหนักในตอนเช้า มันมีโอกาสที่ร่างกายเราจะดึงพลังงานในส่วนนั้นไปใช้ได้ทั้งวัน และที่สำคัญเพื่อช่วยให้พลังงานต่อร่างกายในการทำกิจกรรมต่างๆด้วย แล้วมื้อถัดไปให้เบาลง โดยที่มื้อเย็นบางมื้อถ้าผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เกิดอาการหิวผมก็จะไม่กินเลย และถ้าหิวให้กินอาหารที่อยู่ท้องและเบาที่สุด ชานมไข่มุก หรือเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาล ตัวการเลยอันนี้ คือเรียกว่าแทบจะไม่แตะเลย หรือถ้าจะต้องการกินจริงๆ ผมใช้วิธีนี้ครับ เริ่มจากลดระดับความหวานลงให้น้อยมากที่สุด และสุดท้ายผมก็สามารถดื่มเครื่องดื่มไม่ใส่น้ำตาลได้โดยไม่รู้สึกอะไร ไม่ใช่อร่อยนะครับ แต่บอกตัวเองว่า มันกินได้ เราอยากกินชา ไม่หวานก็กินได้ พฤติกรรมอื่นๆ ผมชั่งนำ้หนักตัวเองตลอดตอนเช้าหลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง แต่วิธีนี้ใครที่จิตตกง่ายๆไม่แนะนำนะครับ ซึ่งผมใช้วิธีบอกกับตัวเองว่า กินมามันก็ต้องมีขึ้นมาบ้าง วันนี้ก็เลือกกินให้มากขึ้น พยายามอีกหน่อย เดี๋ยวก็ลงแล้ว คิดแบบนี้ทุกครั้งที่เห็นว่าน้ำหนักขึ้นมา ซึ่งจะขึ้นมาเพียง 1-1.5 กิโลกรัมเท่านั้น ไม่ได้เยอะมากนัก ตื่นเช้ามาดูตัวเองในกระจกแล้วบอกตัวเองว่า ผอมลงแล้ว ผมจะไม่บอกตัวเองเลยว่าผมทำไม่ได้ เพราะการที่ผมบอกตัวเองว่าผมอ้วน ผมทำไม่ได้ มันคือการบั่นทอนจิตใจตัวเอง แล้วเราจะทำไม่ได้จริงๆ เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดว่ากินไปเถอะลดยากจะตาย และส่งผลให้น้ำหนักผมพุ่งขึ้นสูง พอเจอผลตรวจสุขภาพก็เศร้าไป แต่เดี๋ยวเดียวกินต่ออีกแล้ว ผมมองว่าอย่างน้อยๆการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตัวเองมันคือสิ่งที่ควรทำครับ และยิ่งถ้ามีคนทักว่าไปทำอะไรมา ดูผอมลงผมจะยิ่งชอบใจครับ เป็นคนบ้ายอ มีกำลังใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นกองเลย เริ่มออกกำลังกายครับ เพราะว่า หลังจากผมปรับพฤติกรรมการกินแล้วมาเป็นระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง ปรากฎว่าน้ำหนักผมเริ่มคงที่ครับ โดยจะอยู่ที่ 91-92 กิโลกรัม ซึ่งแน่นอนครับว่าผมไม่สามารถลดปริมาณอาหารให้ลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเผาผลาญเราพังไปซะก่อน ซึ่งผมว่าหลายท่านน่าจะพอทราบบ้างแหละว่าการลดโดยการอดอาหารเป็นการลดที่ผิดวิธี และจะมำให้เราเกิดการโยโย่ได้ เราจะต้องหลุดกินเยอะในที่สุด เพราะทนความหิวไม่ได้ ผมก็เลยตัดสินใจเข้าฟิตเนสครับเพราะให้ร่างกายมีการเผาผลาญและดึงไขมันสะสมไปใช้ ผมออกกำลังกายโดยใช้วิธีการวิ่งบนลู่วิ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 40 นาที แต่ผมไม่ได้วิ่งตลอดนะครับผมวิ่งสลับกับเดินเร็ว ในช่วงแรกผมใช้ทริกคือ เดินก่อน 10 นาทีเพื่อวอร์มร่างกาย และเริ่มวิ่งโดยเริ่มจาก 1 นาทีก่อน ถ้ายังไหวก็จะต่อเวลาเป็น 2 นาที แล้วสลับเป็นเดินเร็ว 5 นาที และสลับกลับไปวิ่งอีกครั้ง ทำซ้ำแบบนี้จนครบ 40 นาที หรือมากนั้น โดย 5 นาทีสุดท้ายก่อนเลิกผมจะไม่ได้หยุดทันที แต่จะเริ่มเดินช้าลง หลังจากนั้นผมจะเล่นเวทอีกเล็กน้อยครับ ผมใช้เวลาในฟิตเนสทั้งหมด 3 วันต่อสัปดาห์ และเสาร์-อาทิตย์ ผมไปวิ่งในสวนครับเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ อันนี้ผมอยากแนะนำเลยครับ ส่วนตัวผม เวลาไปวิ่งผมรู้สึกท้าทายมาก เวลาที่เห็นคนวิ่งเก่งๆ บางคนอายุเยอะกว่าเราด้วยซ้ำ อยากทำให้ได้แบบเค้าบ้าง ฟังเพลงตอนวิ่งก็ช่วยได้เยอะนะครับ เพลินดี ซึ่งจากที่ออกกำลังกายได้ 2 สัปดาห์ น้ำหนักอยู่ที่ 88-89 กิโลกรัม และนี่คือผลลัพธ์ที่ได้ครับ สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ และผมเป็นกำลังใจให้ทุกคนสามารถพิชิตเป้าหมายได้ ซึ่งเป้าหมายผมคืออยากจะลดให้เหลือ 80 กิโลกรัมพร้อมสร้างกล้ามเนื้อ ไว้ผมจะนำประสบการณ์มาแบ่งปันให้อีก ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ ขอบคุณครับ