ใครจะไปคิดว่าการไปเที่ยวต่างประเทศมันจะง่ายขนาดนี้ แค่นั่งเรือข้ามฟาก ไม่ถึง 2 ชม. เราก็มาถึงอีกประเทศหนึ่งแล้ว จากทริปเที่ยวทะเลใต้ไปไงมาไง ข้ามมาโผล่ที่ประเทศมาเลเซียเสียอย่างงั้น พวกเราสองสาวมาเที่ยว เกาะหลีเป๊ะ เป็นครั้งแรกมาเที่ยวกัน 3-4 วัน ไปดำน้ำกันมาก็หลายเกาะ แล้วจึงได้ทราบว่าจากเกาะหลีเป๊ะ เราสามารถข้ามไปเที่ยวมาเลเซียได้ นั่นก็คือ เกาะลังกาวี การเดินทางไปเกาะลังกาวีนั้นง่ายมากด้วยการนั่งเรือเฟอร์รี่ ข้ามฟากจากเกาะหลีเป๊ะ ใช้เวลาประมาณ 90 นาที ค่าตั๋วอยู่ที่ 1,000 บาท/คน ดูแล้วน่าสนใจมากพวกเราจึงไม่รอช้าที่จะรีบจองตั๋วแล้วไปกัน มันจะเป็นการเดินทางข้ามประเทศครั้งแรกของเราโดยไปทางเรือ มันช่างน่าตื่นเต้น พวกเราเช็คอิน เตรียมตัวขึ้นเรือไปลังกาวีกันแต่เช้า เรือออกตอน 9 โมงเช้า พร้อมกับพาสปอร์ตในมือ โดยพวกเราต้องนั่งเรือเล็กเพื่อไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ เพื่อไปลังกาวี ใช้เวลาเพียง 90 นาที เราก็เดินทางมาถึง ท่าเรือลังกาวี ผ่าน ตม.เสร็จสรรพ ความงง ก็เกิดขึ้น เพราะที่เราทำแพลนมาคือ พอขึ้นฟากมาจะมีรถแท็กซี่ หรือรถไว้คอยบริการเข้าเมืองอย่างมากมาย แต่ที่เราขึ้นท่าเรือมานี้ ทำไมมันแลเงียบผิดปกติ กว่าจะรู้ตัวว่า โดนขายตั๋วมาผิดท่าเรือ รถแท็กซี่ก็หายกันไปเกือบหมด สรุปว่า ลังกาวี มีท่าเรือให้ขึ้น 2 ท่า แล้วเราดันมาขึ้น ท่าเรือไกลเมือง สุดท้ายยังโชคดี ที่เราหารถตู้คันสุดท้ายเข้าไปในเมืองลังกาวีได้ อย่างทุลักทุเล แค่เริ่มทริปก็ยังไง ๆ เสียแล้วแท้กซี่ เรามาถึงที่พักก็เป็นช่วงบ่ายมากแล้ว ติดต่อที่พักให้หารถเช่าให้เรา ทีแรกจะเช่ามอเตอร์ไซค์ แต่ดูด้วยระยะทางของเกาะลังกาวีที่ใหญ่ พอ ๆ กับภูเก็ต เราเลยเลือกเช่ารถยนต์ดีกว่า แต่พอได้รับรถมาสภาพมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด แต่เราก็ไม่อยากจะให้ไปเปลี่ยนแล้วเพราะ มันใกล้ค่ำไปทุกที จริง ๆ แล้วไม่แนะนำให้เพื่อน ๆ ทำตามนะคะ เพราะมันไม่ดีเลยการยอมรับรถแบบไม่ได้ตรวจเช็คให้ดี มันมีผลภายหลังมาก แพลนของเรา ไม่ได้วางอะไรมาก พวกเราแค่อยากขับรถไปเรื่อย ๆ เพื่อชมเกาะเท่านั้น เราได้ยินเรื่องเล่าตำนานของพระนางมัสสุหรี ซึ่งเป็นหญิงชาวไทย ที่ได้สมรสกับเจ้านายของลังกาวี จนมีเรื่องเล่าว่า เกาะแห่งนี้ถูกสาปถึง 7 ชั่วอายุคน เพราะพระนางสิ้นพระชนม์ ทำให้หาดทรายกลายเป็นสีดำและเมืองจะไร้ซึ่งความเจริญ แค่ฟังตำนานก็ดูลึกลับน่าตามไปดูสถานที่ของจริง พวกเราขับรถมาเยี่ยมชมพระตำหนักพระนางมัสสุหรี เมื่อเข้าไปภายใน พระตำหนัก มีหลายหลังด้วยกันเป็นบ้านเรือนไม้ แบบสมัยก่อนที่จะยกพื้น ทีแรกเราคิดว่าพระตำหนักน่าจะยิ่งใหญ่กว่านี้แต่เปล่าเลย กลับเรียบง่ายมาก เราเดินดูไปทีละตำหนักก็จะปรากฏภาพเขียนของพระนางและเหล่าทายาท จนไปถึงหลุมฝังศพของพระนาง บอกไม่ถูก บรรยากาศแลเศร้า ๆ หม่นหมอง เหมือนพระนางต้องมาตกระกำลำบากที่นี่ ต้องสูญเสียทุกอย่างมากมาย แม้กระทั่งชีวิตของพระนางเอง แต่เท่าที่เราสังเกตเกาะลังกาวีก็ยังดูไม่เจริญเท่าไรจริง ๆ จากพระตำหนักพระนางมัสสุหรี พวกเราก็เดินทางไปชม พิพิธภัณฑ์รถเก่าและของเก่า Padan Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของเก่าโบราณต่าง ๆ จากนั้นเราไปชมหาดทรายสีดำอันล่ำลือ เราอยากรู้ว่าหาดทรายนั้นดำจริงตามตำนานหรือไม่ เมื่อไปถึงตัวหาดค่อนข้างเงียบ แทบไม่มีนักท่องเที่ยว และหาดทรายก็เป็นสีดำจริง ๆ ด้วย อาจจะเป็นเพราะสภาพดินแถวนั้น หาดทรายเลยมีตะกอนดำ ๆ อยู่จำนวนมาก เราเดินเล่นชายหาดอยู่ไม่นาน เพราะหาดทรายไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ จากนั้นจึงเดินทางต่อ ขับรถลัดเลาะชมตัวเกาะมาเรื่อย ๆ จนมาเจอหาดที่ได้ชมพระอาทิตย์ตกอย่างสวยงามโดยบังเอิญ ถือเป็นความงดงามที่รอมาตลอดวัน โดยส่วนตัวเราแล้ว เราก็ว่าทะเลบ้านเราสวยกว่า ทั้งทรายที่ละเอียดและน้ำที่ใสกว่ามาก เราจบทริปลังกาวีแบบไม่ค่อยสวยงาม เพราะถูกขโมยของในรถตอนจอดที่พิพิธภัณฑ์ ขนาดล็อครถดีแล้วแต่ด้วยความรถที่เช่ามาเก่า จึงโดนงัดง่าย การขอความช่วยเหลือกับยามหรือเจ้าหน้าที่ ที่นั่นนั้น ช่างเฉยเมยและไม่ได้สนใจพวกเรา ขอดูกล้องวงจรปิดก็ให้แค่ส่งอีเมลมาถาม สรุปเราทำใจ ถือเป็นประสบการณ์อีกด้านในต่างแดน ดูเหมือนเกาะแห่งนี้คงต้องมนต์ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเราสักเท่าไร จึงต้องขออำลาเกาะลังกาวี และไปต่อยังเมืองใหม่โชคอาจจะเข้าข้างพวกเรามากกว่านี้ก็ได้ Finger Cross. ภาพประกอบโดยนักเขียน