ต่อจากลาวในความทรงจำ #10 บริเวณริมถนนมีร้านเฝอมีมากมาย ร้านข้าวเหนียวเครื่องในไก่ปิ้งก็มาก ข้าพเจ้าเลือกร้านเฝอเล็กๆ ที่เจ้าของเรือนกำลังกุลีกุจอหั่นต้นหอมอยู่ในเรือน ทำให้มั่นใจได้ว่าร้านนี้เจ้าของเรือนทำเอง น้ำล้างชามคงจะดีกว่าที่แกว่งๆ ล้างริมน้ำ... ในเรื่องความสะอาดแล้ว ข้าพเจ้ามักจะใส่ใจกับกระบวนการล้างภาชนะเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะไม่อยากให้เกิดอาการเกี่ยวกับท้องเท่าไรนักเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังจากเติมพลังจนอิ่ม ข้าพเจ้าเดินถัดมาอีก 2 หลังก็มีร้านเบียร์ที่พอจะนั่งแวะดื่มในอาคารได้ ไม่ต้องตากแดดรอชมการแข่งเรือ เบียร์ลาวหมดไป 1 ขวดก็มีชายสูงวัย 2 ท่านมานั่งดื่มข้างๆ โต๊ะข้าพเจ้า ดื่มไปดื่มมาท่านก็ทักเหมือนเดิมๆ “สบายดี มาเที่ยวหรือ มาจากกรุงเทพเหรอ” ข้าพเจ้ายิ้มรับแล้วตอบความไป แล้วอีกท่านก็ถามข้าพเจ้าว่ามากี่คน ...ในใจแรกข้าพเจ้าอึกอ้กที่จะตอบว่ามาคนเดียวเพราะบางอย่างเราอาจคาดเดาอารมณ์คู่สนทนาไม่ได้ แต่ก็ตอบไปตามตรงว่ามาคนเดียว ท่านทั้ง 2 เลยชวนข้าพเจ้าไปนั่งด้วย ...จริงแล้วก็แค่หันหลังกลับเก้าอี้เท่านั้นเอง ท่านหนึ่งให้ลองชิมได้แผ่นทอดกับซิ้นวัว แน่นอนครับผมเคยลองแล้ว แต่ต้องกินไม่ให้เสียน้ำใจ...! สักครู่ก็มีเด็กหนุ่ม 4-5 คนมาสั่งเบียร์ไป 1 หีบ (ลัง) เมื่อเสียงโฆษกประการว่าใกล้เวลาการแข่งจะเริ่มข้าพเจ้าจึงขอตัว ทราบความภายหลังก่อนจากกันว่าท่านหนึ่งเดินทางมาจากอุดมไซ อีกท่านเป็นอดีตนายตำรวจใหญ่ของหลวงพระบาง บ้านอยู่ทางจะไปน้ำตกตาดกวางสี ทั้งนี้ท่านยังให้นามบัตรไว้แล้วกำชับว่าถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสมาที่หลวงพระบางอีกให้โทรหาจะพาไปเที่ยวชมธรรมชาติ แล้วยังถามข้าพเจ้าอีกว่าชอบผจญภัยอย่างนี้น่าจะลองเข้าไปนอนตั้งแค้มป์ในป่าของหลวงพระบาง ...? การแข่งเรือยาวของหลวงพระบางจะเป็นเรือขนาดกลาง 40-50 ฝีพาย ลำเรือจะบางเพราะต้องการความเร็ว เรือจึงไม่หนาเหมือนสมัยก่อนที่ต้องใช้แรงปะทะในการทำศึกสงคราม จุดเริ่มต้นคุ้งท่าน้ำวัดอำไพ จุดสิ้นสุดการแข่งขันที่ท่าน้ำวัดปากคาน ความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร มีเรือเข้าแข่งขันประมาณ 20 ลำ หรือแล้วแต่จำนวนผู้สมัครแต่ไม่เกิน 24 ลำ ข้าพเจ้าลงไปจับจองที่ริมหาดด้านล่างริมน้ำคานซึ่งดินยังชื้นแฉะอยู่บ้าง ด้วยร่มต้นมะขามใหญ่ที่แตกกิ่งก้านกันแดดได้บ้าง ลั่นชัตเตอร์ไปสักพัก แดดแรงขึ้น กลุ่มชาย 4-5 คนที่หิ้วเบียร์ 1 ลังจากร้านค้านั้นก็ขยับหลบแดดมาใกล้ที่ข้าพเจ้าและดูเหมือนร่มเงามะขามจะไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาข้าพเจ้าจึงขยับให้เล็กน้อย ...ด้วยการที่ข้าพเจ้าขยับให้พวกเขา ทำให้ก่อมิตรภาพขึ้น แน่นนอนว่าเขาจะดูออกว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย และเรียกให้ร่วมวงด้วย วัยรุ่นชายชาวหลวงพระบางเหล่านี้มาจากคุ้งน้ำวัดอำไพซึ่งอยู่ตรงบริเวณที่ปล่อยเรือ ซึ่งในตอนสายข้าพเจ้าก็เดินสวนทางกับขบวนแห่เรือของวัดอำไพที่หน้าวัด ชายคนหนึ่งพูดจาไพเราะบอกว่าเขาเคยบวชที่วัดนี้แล้วไปเรียนที่โรงเรียนปริยธรรมที่วัดปากคาน ...เส้นชัยการแข่งขัน เสียงโห่ร้องเชียร์ฝีพายที่กำลังเร่งจ้วงน้ำอย่างสุดแรงจนน้ำแตกซ่านเซ็น เมื่อเรือผ่านหน้าไปเสียงเชียร์ก็บางเบา กลายเป็นเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ถึงลักษณะการจ้วงของฝีพาย หรือการโยกตัวของนายท้ายเรือ ถ้าเรือบ้านไหนแพ้ก็สีหน้ากองเชียร์ก็ดูจะเคร่งเครียด ส่วนกองเชียร์ของฝ่ายชนะก็จะครึกครื้น โห่ร้อง เป่าปากอย่างสนุกสนาน สำหรับเงินรางวัลสำหรับผู้ชนะดูเหมือนจะมีค่าไม่มากมายเท่าไหร่เมื่อเทียบกับประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านาน สำหรับฝีพายเหล่านั้นหลายคนแทบจะไม่ได้สนใจในรางวัลล่อใจสำหรับผู้ชนะ แต่การได้ลงเรือแล้วได้แสดงฝีมือให้ชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวได้เห็นนั้นมีค่ามากสำหรับเขาเพราะในอดีตชายชาญ ทหารกล้า เท่านั้นที่ได้ลงเรือทดสอบฝีมือต่อหน้าเจ้ามหาชีวิต ...ในอดีตการแข่งเรือนั้นจะใช้เรือที่มีขนาดลำใหญ่ หนา และมีการกระแทก เบียดกัน ในการแข่งขัน ซึ่งเสมือนการทำศึกสงคราม การแข่งเรือจึงเป็นการซ้อมรบของทหารไปด้วย ปัจจุบันใช้แค่ความเร็วอย่างเดียว... กองเชียร์จากวัดอำไพดูจะหงอยเหงาลงชั่วขณะเมื่อเรือของพวกเขาเข้าเส้นชัยทีหลังเรือจากวัดแสน ...เรือจากวัดแสนอดีตแชมป์ปีที่แล้วดูจะมีภาษีดีกว่าเพราะได้เตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี และอยู่ในล่องน้ำลึก... ชายที่นั่งข้างๆ ข้าพเจ้าว่า รอบหน้าเรือของวัดเขาต้องชนะให้ได้ เพราะถ้าแพ้จะตกรอบทันที แล้วเขาก็ยกแก้วขึ้นดื่ม...! การแข่งขันเข้มข้นขึ้นทุกเที่ยว เพราะนั่นคือการแก้ตัวสำหรับผู้แพ้ในครั้งแรก เรือจากวัดเชียงทองผ่านเข้ารอบไปแล้ว เป็นทีมแรก... มีเรือจากหนองคายและเวียงจันทน์ผ่านเข้ารอบตามลำดับ เมื่อโฆษกประกาศว่าเรือที่จะทำการแข่งคู่ต่อไปคือเรือจากวัดแสนกับวัดอำไพ โดยเที่ยวนี้จะสลับล่องน้ำกัน เสียงกองเชียร์ดังไล่ฝีพายให้จ้วงพายหนักๆ แรงๆ และให้หน้าพายกินน้ำเยอะๆ เอ้า...เอ้า...เอ้า...บึด...! เมื่อเรือแล่นเลยผ่านกองเชียร์ของพวกเราไปดูเหมือนว่าเรือจากวัดแสนจะนำอยู่เล็กน้อย แล้วสุดท้ายเรือจากวัดอำไพก็ตกรอบ... ถึงแม้ว่าเรือจะแพ้แต่กองเชียร์ก็ไม่ได้แสดงความผิดหวังอย่างไร เพราะคิดว่าเรือจากวัดแสนนั้นเก่งมาก ...กองเชียร์เปลี่ยนใจไปเชียร์ทีมอื่นต่อไปอย่างไม่ติดใจในทีมเรือของตน ...ข้าพเจ้าชื่นชมน้ำใจนักกีฬาของเหล่ากองเชียร์กลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง ...เอ้ายก...! ตำจอก เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ข้าพเจ้าจึงร่ำราเหล่ากองเชียร์นั้นกลับไปพักผ่อนที่เรือนพัก เพราะเพลียมาก วันนั้นหลายอย่างมีแต่ความสนุกสนาน และมิตรภาพ เป็นอย่างนี้เหมือนทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้เดินทางมาหลวงพระบาง จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต อะไรเป็นของจริง อะไรเป็นมายา อะไรคือความสวยงามของมรดกโลก ข้าพเจ้านั่งริมทางขึ้น-ลงท่าเรือไปเชียงแมนใกล้เรือนพัก แดดสวยลับแม่น้ำโขงอีกครั้งในเย็นของวันแข่งเรือที่หลวงพระบาง ใจข้าพเจ้าไม่อยากกลับเรือนเพื่อเก็บข้าวของเดินทางกลับกรุงเทพฯ อยากจะนั่งริมน้ำโขงมองสายน้ำแห่งชีวิตที่มีเรื่องราวมากมาย ...ในอดีตการแข่งเรือนั้นจะแข่งที่แม่น้ำโขง เพิ่งจะเปลี่ยนไปแข่งที่น้ำคานหลายปีมานี้เอง... มองแม่น้ำโขงเห็นวิถีชีวิตหลากหลาย แปลงผัก ชาวประมง คนร่อนทอง คนเรือและขยะ... คุณป้าเจ้าของเรือนพักเดินมาตามข้าพเจ้า บอกว่า "อาหารเย็นพร้อมแล้วให้ไปกินข้าวแล้งนำกัน" (กินข้าวเย็นด้วยกัน) คืนนั้นข้าพเจ้าอิ่มอร่อยแล้วตบท้ายด้วยเบียร์ลาวก่อนนอน รุ่งขึ้นจำใจจากลา ขอบคุณชาวหลวงพระบางทุกท่าน ด้วยจิตคารวะ ดวงจำปา