ข้าพเจ้าได้กลับมาเยือนหลวงพระบางอีกครั้งกับเพื่อน (คุณเจี๊ยบ) ซึ่งเดินทางกลับมาจากการท่องเที่ยวประเทศยุโรปตอนบน ระหว่างทางได้รู้จักกับพี่แอ เจ้าของรถ V.I.P. ปรับอากาศที่ข้าพเจ้านั่งมา ครอบครัวพี่แอลี้ภัยไปอยู่ประเทศนอร์เวย์ คุณเจี๊ยบกับพี่แอจึงพูดคุยเรื่องต่างๆ อย่างถูกคอ หลังจากแยกย้ายกับพี่แอที่ท่ารถหลวงพระบาง ข้าพเจ้ากับคุณสุวิมลเข้าเช็คอินที่เรือนพักที่จองล่วงหน้าไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ด้วยเหตุที่เกรงว่าจะไม่มีที่พักเพราะเทศกาลสงกรานต์ที่หลวงพระบางจะแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างประเทศ บ้างเป็นชาวลาวต่างเมืองที่จะมาชมขบวนแห่งนางสังขาร (นางสงกรานต์) หรือสรงน้ำพระบาง เมืองหลวงพระบางจึงคับคั่งหนาแน่นไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและมากขึ้นหลายเท่าจากปรกติ การจองที่พัก ล่วงหน้าเป็นการการันตีความสะดวกและความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง และ เรือนพักหลังนี้ข้าพเจ้าเคยมาพักเมื่อครั้งเดินทางมาเมื่อหลายเดือนก่อน หลังอาบน้ำขจัดคราบไคลจากการเดินทางมา 24 ชั่วโมง ก็ลงมานั่งสนทนากับคุณลุงเจ้าของเรือนพัก คุณลุงเจ้าของบ้านพัก (อาชีพหลักเป็นข้าราชการ) บอกว่าอีก 5 วัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดงานจะอันเชิญพระบางมาสรงน้ำ ข้าพเจ้ามี ความคิดส่วนตัวว่า การเดินทางมาหลวงพระบางในปัจจุบันนี้มีหลายวิธี จะมาเมื่อไหร่ก็ได้แต่ถ้ามาหลวงพระบางแล้วไม่ได้สรงน้ำพระบาง เหมือนการเดินทางมาไม่ถึงหลวงพระบาง 100 เปอร์เซ็นต์ ข้าพเจ้าจึงบอกคุณลุงเจ้าของเรือนพักว่าข้าพเจ้าขอพักจนถึงวันสรงน้ำพระบางแล้วจึงจะกลับ ในการตัดสินใจครั้งนี้คุณเจี๊ยบก็เห็นดีเห็นงามและเออออไปกับข้าพเจ้า และคืนนี้จะมีการประกวดนางสังขารเป็นคืนแรกที่สนามหน้าวัดทาดหลวง ชาวหลวงพระบางเรียก “เดิ่นหลวง” (สนามหรือลานโล่ง สถานที่สาธารณะ สถานคล้ายกับสนามหลวงที่กรุงเทพฯ) คุณลุงเจ้าของเรือนพักเปรยให้ฟังว่า ปีหนึ่งจะมีโอกาสได้เห็น พระบางใกล้ๆ ก็คราวสงกรานต์นี้แหละ ชาวลาวอีกหลายคนก็อยากมาสรงน้ำพระบางกันทั้งนั้นเพราะถือว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง นอกจากนี้ ยังมีคนลาวอีกไม่น้อยที่อยากไปไหว้พระแก้วมรกตที่กรุงเทพฯ เพราะชาวลาวมีความเชื่อความศรัทธาพระแก้วมรกต เมื่อครั้งประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระบางและเวียงจันทน์จึงอยากนมัสการพระทั้งสององค์นี้ หลังจากข้าพเจ้ารับประทานเฝองัว (วัว) ชามโตที่ตลาดมืดหน้าหอพิพิธภัณฑ์เพื่อเรียกพละกำลังที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางทั้งวัน เดินตามถนนโพทิสะลาด มุ่งหน้าสู่สนามหน้าวัดทาดหลวง เมื่อไปถึง เสียงเพลงภาษาลาวจากเครื่องขยายสนุกคึกคัก มีชาวลาวและนักท่องเที่ยวมากมาย บรรยากาศเหมือนงานวัดของบ้านเรา คือ มีชิงช้าสวรรค์ ร้านค้า ขายเครื่องใช้ อาหาร การปาลูกดอก เล่นบิงโกชิงรางวัล และเวทีการประกวดนางสังขาร (นางสงกรานต์) ซึ่งจะยืนดูการประกวดด้านนอกก็ได้ หรือซื้อบัตรเข้าชมภายในราคาบัตร 200,000 กีบ มีเก้าอี้ 6 ที่ เบียร์ลาว 6 ขวด น้ำอัดลม 6 ขวด น้ำแข็ง 2 กิโลกรัม แก้ว 6 ใบ ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบเห็นว่าเป็นราคาที่สูงสำหรับคน 2 คน และน่าจะเข้าชมเป็นหมู่คณะจะเหมาะสมกว่า และควรมีสมาชิกรวมกันแล้วเป็น 6 คน ดังนั้น จึงต้องหาสมาชิกเพิ่มอีก 4 คน และในที่สุด คุณเจี๊ยบก็เดินหาสมาชิกมาเพิ่มเป็นแม่หญิงจากบ้านผานมจำนวน 4 คนพอดี (บ้านผานม เป็นหมู่บ้านชาวลื้อ อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงพระบางประมาณ 3 กิโลเมตร ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เป็นช่างทอผ้าประจำราชสำนัก ปัจจุบัน เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านผ้าทอซึ่งมีลวดลายสวยงามวิจิตรมาก) ซึ่งสาวทั้ง 4 มีความประสงค์จะเข้าชมการประกวดเหมือนกัน และเมื่อจุดมุ่งหมายเหมือนกันเราก็หารเงิน 200,000 กีบด้วย 6 ประกอบด้วยพี่วอน พี่ขาว และหญิงสาววัยรุ่น 2 คน คุณเจี๊ยบและข้าพเจ้าเข้าชมการประกวดและลุ้นผู้เข้าประกวด แต่วันนี้เป็นเพียงการแนะนำตัวในชุดพื้นเมืองและชุดประจำชนเผ่า ดังได้อธิบายในตอนต้นไปแล้วว่าประเทศลาวประกอบด้วยหลายชนเผ่า ฉะนั้น ผู้เข้าประกวดจึงต้องแต่งกายประจำชนเผ่าของตนเองเพื่อมิให้ลืมต้นกำเนิดของตนเอง ผู้เข้าประกวดทั้งหมดเป็นชาวหลวงพระบางแท้ๆ สำหรับการประกวดวันนี้ไม่มีการตัดสิน ทั้ง 6 คนจึงนัดหมายเวลาที่จะมาชมการประกวดและการตัดสินในวันพรุ่งนี้ ก่อนแยกย้ายสมาชิกโดยบังเอิญทั้ง 6 คน รองท้องด้วยเฝอร้อนๆ ที่ร้านเฝอเล็กๆ เยื้องห้องการแขวงหลวงพระบาง หลังจากนั้น 4 สาว แห่งบ้านผานมขึ้นรถซูบารุเล็กๆ สีชมพูหวานจ๋อยเลี้ยวขวาตรงวงเวียนน้ำพุมุ่งหน้าไปบ้านผานม เช้ารุ่งขึ้นข้าพเจ้าขออนุญาตงดใส่บาตรเพราะเหนื่อยล้ากับการ เดินทางจึงขอหลับให้เต็มอิ่ม สายหน่อยก็เดินเท้าไปยัง “ร้านกาแฟ ประชานิยม” ร้านกาแฟร้านนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก ของชาวลาวและนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทย ซึ่งขายกาแฟโบราณตามแบบดั้งเดิม โดยใช้ฟืนในการหุงต้ม ชาวหลวงพระบางจะนิยมใช้ฟืนมากกว่าการใช้แก็ส ดังนั้น กลิ่นไหม้ควันไฟที่ผสมกับความหอมของกาแฟโบโลแวน (กาแฟ ArabIca สายพันธุ์ชั้นเยี่ยมที่ปลูกจากเทือกเขาโบโลแวนทางตอนใต้ของประเทศลาว ตั้งแต่สมัยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และปลูกสืบเนื่องต่อมา จนปัจจุบันนี้ บางครั้งชาวลาวจะเรียก กาแฟโบโลเวนหรือกาแฟโบโลแวน) ร้านกาแฟแห่งนี้สร้างเป็นเพิงธรรมดาอยู่หัวถนน หน้าตลาดเช้าบรรจบกับถนนสุวันนะบันลัง เยื้องวัดโพนไซ ข้าพเจ้าได้พบกับคนรู้จักจาก เมืองไทย ซึ่งเวลาอยู่ที่กรุงเทพฯ แทบจะตามตัว กันได้ยากแต่มาปะกันที่ร้านกาแฟในหลวงพระบาง นอกจากนี้ ทางร้านยังมีสมุดเยี่ยมเมื่อเปิดดูจะ พบว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เขียนเยี่ยมหลวงพระบาง ใกล้ๆ กันกับร้านกาแฟจะมีร้านขายข้าวจี่ (ข้าวจี่ในประเทศลาวมี 2 อย่างคือ 1.ข้าวจี่ ที่ทำจากข้าวเหนียวนำมาจี่ (ปิ้ง) ไฟ 2.ข้าวจี่ ที่หมายถึงขนมปังฝรั่งเศสผ่ากลางใส่ผัก ใส่เครื่อง ราดซอส เป็นอาหารประเภทฟาสท์ฟูด ที่ได้รับอิทธิพลมาจากครั้งอยู่ภายใต้การ ปกครองของประเทศฝรั่งเศส) ข้าวจี่ในที่นี้คือ ขนมปังฝรั่งเศส ขนาดยาว ประมาณ 1 ฟุต ผ่ากลาง ใส่ผักใส่หมู หรืออย่างอื่นตามชอบราดด้วย น้ำซอสสูตรพิเศษ รับรองได้ว่าถ้าได้ลิ้มลองแล้วจะต้องบอกว่ารสดี กลมกล่อม 1 ชิ้น อิ่มไปได้ถึงบ่าย หากไม่ต้องการข้าวจี่ยังมีร้านขายเฝอ ร้อนๆ ใกล้ๆ ร้านนี้เครื่องถึง ให้ผักไม่อั้น ข้าพเจ้าการันตีว่า เฝอร้านนี้ดีที่สุด แต่ไม่ได้หมายว่าอร่อยที่สุดควรมาก่อน 11 โมง เพราะของจะหมดหรือ น้ำซุปจะไม่กลมกล่อม ข้าพเจ้าลองสอบถามสูตรในการต้มน้ำซุปกับ เจ้าของร้าน ได้ความว่านอกจากร้านนี้จะใส่เครื่องเหมือน ร้านอื่นๆ คือ ต้นหอมผักชีกำใหญ่มัดด้วยตอก กระดูกวัว และเครื่องอื่นๆ แล้ว ใส่รากบัวลงไปเคี่ยวด้วยจึงทำให้ได้รสชาติที่หอม เมื่อลองชิมน้ำซุป แล้วจะได้รสที่เป็นลักษณะพิเศษคือรสเนื้อที่ถูกขับออกมาจากน้ำซุปที่ กลมกล่อมมาก ข้าพเจ้ารับรองว่าไม่ผิดหวังครับถ้าได้ลิ้มลองเฝอแบบ หลวงพระบางร้านนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าจักต้องอธิบายให้ทราบว่า ข้าพเจ้าได้รับคำแนะจากทางร้านว่า การกินเฝอให้อร่อยนั้นในชามเฝอของ ท่านจะต้องอลังการไปด้วยผักนานาชนิด เรียกได้ว่าทางร้านมีผักอะไรวาง อยู่ตรงหน้าก็เด็ดใส่ชามให้หมดทุกอย่าง ส่วนการปรุงรสนั้นต้องปรุงให้ รสจัด (มิได้หมายถึงปรุงให้เผ็ดแต่ปรุงให้เข้มข้น) เวลากินก็ตามด้วย พริกขี้หนูเผาจิ้มกะปิตัด ...แซบหลายเด้อ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผงชูรส เวลาสั่งก็บอกแม่ค้าว่า “ไม่ใส่แป้งนัว” พอหาเสบียงใส่ท้องเรียบร้อย แล้วก็เดินดูของวิถีชาวบ้านที่ตลาดเช้า มีคนกล่าวไว้ว่า หากอยากรู้วิถีชีวิตของถิ่นนั้นๆ ให้ไปดูที่ตลาดแล้วจะรู้ คำตอบ หากการเดินตลาดของข้าพเจ้ามิได้หวังใจว่าจะหยิบจับหรือซื้อ อะไรนัก เพราะสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผักสด น้ำพริก ปลา บ้างก็เป็นของป่า มีขายหวยรายวันด้วย... ขณะข้าพเจ้าเดินดูของเดินเพลินๆ ในตลาดก็ บังเอิญไปปะกับทีมงานถ่ายสารคดีบริษัทหนึ่งจากประเทศไทยที่รู้จักกัน และหลังจากนั้น คณะเดินทางในครั้งนี้ก็มีเพิ่มอีก 2 คนในบางเวลา โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ภาพและเรื่องโดย : ดวงจำปา