ต่อจาก ลาวในความทรงจำ #6 หลังจากออกจากหนองคาย ข้ามแดนที่ด่านเวียงจันทน์ ขึ้นรถ V.I.P. ที่สถานีขนส่งสายเหนือของ สปป.ลาว เดินทางตามถนนหมายเลข 13 เหนือ มาถึงหลวงพระบางและพักผ่อนได้ 1 คืน ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบก็ขอท่องเที่ยวแบบเรื่อย ๆ ที่หลวงพระบางจนกว่าจะได้สรงน้ำพระบาง วันนี้ตอนกลางวันที่หลวงพระบางไม่มีอะไรเป็นพิเศษ จึงแวะ เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง หรือพระราชวังเดิมของพระมหาชีวิต ต่อจากนั้นจึงเดินขึ้นยอดพระธาตุจอมพูสีเพื่อชมเมืองหลวงพระบางจากบนพูสี ระหว่างทางเดินจะผ่านวัดป่ารวกหรือวัดป่าฮวก ปัจจุบันเป็นวัดร้าง ปิดล็อกประตู หากจะเข้าชมภายในต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตรงที่เก็บเงินขึ้นพูสี ระหว่างบันใดทางขึ้นพูสีมีต้นจำปาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นต้นจำปาลาว ออกดอกส้มเหลืองงดงามและส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ บรรเทาความเหนื่อย ได้บ้าง เมื่อขึ้นมาถึงยอดจะรู้สึกเย็นสบายมองทิวทัศน์รอบเมืองได้ทุกด้าน ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจากยอดพูจะมองเห็นมหาราชวังและฉากหลัง เป็นแม่น้ำโขงไหลเป็นแนวยาว สามารถมองเห็นฝั่งเมืองเซียงแมนได้ อย่างชัดเจน ด้านทิศตะวันออกก็สามารถมองเห็นแม่น้ำคาน สะพานเหล็ก และสันติเจดีย์ของวัดโพนเพาที่สุกปลั่งเป็นสีทองเหลืองอร่าม ยามเย็นตะวันคล้อยหลบหลัง เทือกเขา ทอดเงาสะท้อนระยับกับน้ำโขง เป็นภาพที่หาได้ยากหากได้มายืนบนยอด พูสีภาพที่เห็นยามตะวันตกเป็นอีกหนึ่ง ความประทับใจในการมาเยือนหลวงพระบาง สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย หรือศาสนิกชนที่ขึ้นไปบนยอดพูสีมิควรนำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขึ้นไปบน ยอดพูสี เพราะบนยอกพูสีมิใช่จุดชมวิวธรรมดา แต่เป็นศาสนสถานที่มี จุดชมทัศนียภาพของหลวงพระบางที่สวยงาม...บนยอดพูมีฐานยิงปืนต่อสู้อากาศยาน... (ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน) เมื่อข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบเดินลงจากพระธาตุพูสีก็เป็นเวลาที่ตลาดมืดกำลังจะเริ่มเปิดทำการ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และบ้านชาวที่อยู่บริเวณ ใกล้ๆ ต่างนำผลิตภัณฑ์หรือสินค้ามาเตรียมจัดร้านกันบนถนนสีสะหว่างวง เดินเพลิน ๆ ก็มีเสียงเรียกข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบจากร้านข้างทาง เมื่อหันไป ทางต้นเสียงก็เห็นพี่แอเจ้าของรถ V.I.P. นั่งเป็นประธานในร้าน ข้าพเจ้าแวะ เข้าไปทักทายและดื่มเบียร์อยู่พักใหญ่จนฟ้ามืด สุดท้ายพี่แอก็เอ่ยปากชวน ไปร่วมวงเข้าเย็นด้วยกัน (ไปกินข้าวแลงนำกันกัน-ภาษาลาว) วันนี้ ข้าพเจ้าจะได้ลิ้มลองข้าวเหนียวที่ชาวหลวงพระบางหุงกินในบ้านไม่ใช่ แบบหุงขายที่ตลาด แน่นอนครับว่าความนุ่มของข้าวนั้นต่างกันด้วยลิ้นสัมผัส เพราะไม่ได้หุงผึ่งตากลม คุณลุงคนขับรถ V.I.P. ยื่นยาดองสมุนไพร ให้ข้าพเจ้าลิ้มลอง ยาดองไหลผ่านลำคอ…..วาบไปทั้งตัว เกินบรรยายครับ อาหารเย็นจัดมาเป็นสำรับโดยส่วนใหญ่จะเป็นเส้นขนมจีน (ข้าวปุ้น-ภาษาลาว) น้ำพริก ปลาย่าง ต้มปลา น้ำปรุง ต้มผักหวาน หน่อไม้ ผักสดนานาชนิด และที่ขาด ไม่ได้เลย คือ ข้าวเหนียว อาหารมื้อนี้รสชาติร้อนแรง ฉบับผสมระหว่างเวียงจันทน์กับหลวงพระบาง วิธีการลิ้ม อาหารมื้อนี้คือกินแบบเมี่ยง คือวางผักกาดหอมในมือตามด้วยเส้นขนมจีน ปลาย่างหรือเนื้ออย่างอื่น ใส่ผักอย่างอื่น ๆ ไปบ้าง บ้างใส่พริกขี้หนู ราดด้วย น้ำปรุงที่มีรสเปรี้ยวหวาน ปิดท้ายด้วยใบสะระแหน่ แล้วห่อเป็นคำ รับรองครับว่า อร่อย หากินใน เมืองไทยไม่ได้แน่ ๆ เพราะผักที่นี่มีรสหวานมาก พีแอเล่าว่าสมัยเมื่อ 20 ปีมาแล้วเคยทำงานอยู่ที่กระทรวงโฆษณา เคยไปทำสารคดีในป่าอยู่นาน และเคยเป็นล่ามภาษาให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่สุดท้ายต้องย้ายตัวเองไป อยู่ยุโรปหลายประเทศ และลงหลักปักฐานอยู่ที่นอรเวย์ คุยกันไปไม่นาน ยาดองหมดไปครึ่งขวดข้าพเจ้าเริ่มแย่ เพราะดีกรีหนักเหลือเกิน และเกือบ ลืมนัดกับพี่ขาวจากบ้านผานมที่วัดทาดหลวง-ภาษาลาว เพื่อเข้าชมการประกวด นางสังขารวันสุดท้าย จึงขอตัวร่ำราพี่แอและสมาชิกท่านอื่น ๆ การจากลาจึงดูเงียบเหงาเป็นธรรมดา ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบ ยกมือไหว้แสดงการ ขอบคุณแบบไทย และจับมือแบบลาวกับทุกคนก่อนเดินไปวัดทาดหลวง เมื่อมาถึงวัดก็รู้สึกว่าข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบมาช้าไปครึ่งชั่วโมง และน่าจะพลาดนัดกันแล้ว ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบจึงเดินเที่ยวชมงาน ภายนอกและแวะเล่นเกมบิงโก โดยมีรางวัลล่อใจชิ้นใหญ่สุดคือพัดลมตั้งโต๊ะ เล่นอยู่นานไม่ประสบความสำเร็จมีแต่ชาวลาวส่วนใหญ่ได้ไป ส่วนข้าพเจ้า กับคุณเจี๊ยบได้ลูกอมมาหลายเม็ด และเนื่องจากดีกรีของยาดองยังค้าง เติ่งอยู่ในกระแสเลือดและลมหายใจข้าพเจ้าจึงควรหาอะไรร้อน ๆ ไล่ แอลกอฮอล์ออกไปบ้าง ปรึกษากับคุณเจี๊ยบว่าน่าจะรับเฝอร้อน ๆ ที่ร้าน เยื้องห้องการแขวงฯ ระหว่างทางเห็นกับรถซูบารุสีชมพูหวานจ๋อยจอด อยู่ริมทาง เดินเข้าไปสำรวจดูและมั่นใจว่าเป็นรถของ 4 สาวจากบ้านผานม จึงเขียนจดหมายเป็นภาษาลาวด้านหลังภาพถ่ายหลวงพระบางของข้าพเจ้าที่เคยถ่ายไว้เมื่อคราวเดินทางมาครั้งก่อนและพกติดตัวมาด้วย โดยกล่าว ขอโทษที่มาช้าและทิ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือในประเทศลาวที่ข้าพเจ้าใช้ โดยเหน็บไว้ที่บัดน้ำฝนหน้ารถ หลังจากรับเฝอร้อน ๆ ขับไล่ดีกรีออกไปบ้างจึงเดินกลับเรือนพัก ข้าพเจ้ากระหายน้ำจึงแวะซื้อน้ำเปล่าสำหรับดื่ม (น้ำบอลิสุด-ภาษาลาว) ปรากฏว่าน้ำเปล่าหมด แม่ค้าจึงถามข้าพเจ้าว่ารับเบียร์แทนได้ไหม ประกอบกับที่หน้าร้านมีหนุ่มสาววัยรุ่นนั่งดื่มกันอย่างสนุกสนาน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเป็นปราชญ์รุ่นใหม่แห่งหลวงพระบางเดินมา ชักชวนข้าพเจ้า (เอาอีกแล้ว…คุณเจี๊ยบบ่นในใจ และดูเหมือนว่าจะอ่านใจ ของข้าพเจ้าได้ทะลุ) ภายหลังทราบชื่อปราชญ์ผู้นั้นว่า พง กำลังเรียน ปริญญาตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวที่เวียงจันทน์กลับมาเยี่ยมบ้าน ที่หลวงพระบางในช่วงเทศกาลปีใหม่ลาว สนทนากันไปหลายเรื่อง ข้าพเจ้า จับประเด็นในสาระที่ได้ คือ โรงเรียนในประเทศลาวจะปิดเทอมในฤดูฝน เพราะการเดินทางจะลำบากและอีกนัยหนึ่งคือประเทศลาวเป็นประเทศ กสิกรรม จึงหยุดเรียนเพื่อให้เด็กๆ ช่วยพ่อแม่ทำการเพาะปลูก นอกจากนี้ ยังได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับซิ่นที่สุภาพสตรีใช้สวมใส่นั้นจะมีลวดลายและ ความสำคัญแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ซิ่นของนักเรียนหญิง ก็จะแบ่ง ระดับชั้นเรียน โดยสังเกตที่ชายซิ่นถ้ามีลายเส้นสีขาวเส้นเดียวจะเป็น ชั้นประถม และเส้นจะมากขึ้นเมื่อเรียนในระดับชั้นมากขึ้น ไม่นานข้าพเจ้าก็ขอตัวกลับหลังจากที่ดื่ม ของเหลวอย่างอื่นแทนน้ำเปล่า เช้าวันต่อมา ที่ร้านกาแฟในตอนสายเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เสียงคู่สนทนาเป็นภาษาลาว ครั้งแรกรับสายข้าพเจ้าก็ไม่ทราบได้ว่าเป็นผู้ใดโทรมา และผู้ที่โทรมาก็คิดว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บ่าวชาวลาวที่ทิ้งเบอร์โทร ไว้หน้ารถสีชมพูจึงพูดภาษาลาวเป็นชุดใหญ่อย่างข้าพเจ้าไม่ทันตั้งตัว ด้วยมูลเหตุที่ข้าพเจ้าเขียนภาษาลาวจึงเข้าใจว่าเป็นชาวลาว สอบถามไปมา คู่สนทนา คือ พี่วอนแห่งบ้านผานมโทรมาให้ข้าพเจ้าไปที่ถนนสีสะหว่างวง เพราะมีตลาดกลางวัน โดยปกติถนนเส้นนี้จะมีเฉพาะตลาดมือในเวลาเย็น ก่อนหน้างานวันขึ้นปีใหม่ของชาวลาวประชาชนต่างออกมาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดนี้เพื่อเตรียมงานปีใหม่ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงก็พบกับภาพที่ไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อ 2 วันก่อน 4 สาวนี้แต่งกายดูทันสมัยต่างจากวันนี้ที่นุ่งซิ่นมานั่ง ขายผ้าริมถนน พี่ขาวบอกข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบให้ซื้อเสื้อเบียร์ลาวสีดำ ต้องเป็นสีดำเท่านั้นเพราะบ่าย 2 โมงวันนี้พวกเธอและสมาชิกชาวลื้ออีก หลายคนจะไปตบทาดที่ฝั่งเซียงแมนและชวนข้าพเจ้าไปร่วมตบทาดด้วย โดยกลุ่มพี่วอน พี่ขาว จะใส่เสื้อเบียร์ลาวสีดำเป็นเสื้อกลุ่ม แน่นอนครับว่า งานนี้ข้าพเจ้าไม่มีวันปฏิเสธได้ หลังจากได้เสื้อสีดำเรียบร้อยข้าพเจ้าก็พาคุณเจี๊ยบไปลิ้มลอง แหนมเหลือง-ภาษาลาว คล้ายขนมเบื้องญวน ซึ่งมีลักษณะคล้ายขนมเบื้องญวน แต่จะใส่ แหนมสดลงไปด้วย จะเป็นแหนมหมูหรือแหนมเนื้อก็ตามชอบ และ ที่สำคัญร้านนี้ทำแหนมเอง จึงรับรองความสดใหม่ รสชาติไม่เปรี้ยวจนเกิน พอดี รับประทาน 1 จาน อิ่มนานไปหลายชั่วโมง ทั้งยังเป็นแหล่งพลังงาน ที่มากล้น มีทั้งแป้ง ไข่ไก่ 2 ฟอง ผักอีก 3-4 อย่าง และน้ำซอสราดที่มี รสเปรี้ยวของส้มมะขาม หากไม่พอใจ ยังมีมะนาวผ่าซีกให้อีก “สบายดีเจ้า” เสียงแม่ค้าทักทาย แม่ค้าจำข้าพเจ้าได้ จึงสนทนากันอย่างเป็นกันเอง เพราะ คราวก่อนข้าพเจ้าเดินทางมาที่หลวงพระบางก็แบกแหนมจากร้านนี้ ไปฝากเพื่อนฝูงที่กรุงเทพ ฯ ความหอมของแหนมในกระทะเจือกลิ่นไข่เจียว ผสมน้ำข้าว (น้ำแป้งข้าวโพด) ทำให้นึกถึง ไข่เจียวแหนม ผักหลายชนิด เช่น ต้นหอม ผักชี ถั่วงอก และผักอะไรไม่ทราบ อีก 2 ชนิด กลิ่นหอมกับความ อร่อยที่ลงตัวของแหนมเหลืองทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจชนิดของผักที่ ไม่รู้จักเท่าไร เพราะรสที่อร่อยมากจนทำให้ข้าพเจ้าไม่อยากกินให้หมด… เสียดาย ถ้ากินหมดความอร่อยก็หมดไป ไหน ๆ แล้วก็โฆษณาให้ซะหน่อย ว่าร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยตรงข้ามทางเข้าวัดมหาทาด เป็นร้านเล็ก ๆ เปิดเวลา ประมาณ 10 โมงเช้า ถึงบ่าย 4 โมงเย็น ข้าพเจ้าขอไขข้อกังขาสำหรับท่านผู้อ่านว่า ก่อนอื่นข้าพเจ้าเป็น เพียงนักท่องเที่ยวชาวไทยที่พอจะอ่านภาษาลาว พูดลาวได้ในระดับต้น สำเนียงไม่ได้ ศึกษาวัฒนธรรมหลวงพระบางมาพอสมควร ในการร่วมดื่ม กับชาวลาวนั้นเป็นเพียงแค่ไมตรีพอหอมปากหอมคอ ถ้ามีการจ่ายเงิน ก็จะเป็นการหารเฉลี่ยซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติของชาวลาว จะไม่มีการเลี้ยง หรือหน้าใหญ่จ่ายให้ เรื่องนี้เป็นสำคัญ พี่วอนเล่าให้ฟังว่า คนหลวงพระบางถือมาก ไม่ชอบกินหรือได้ของจากคนอื่นฟรี ๆ เสมือนการหมิ่นในศักดิ์ศรีอะไรประมาณนั้น (ด้วยความเป็นกันเองและไมตรีหลายๆ อย่างหรือความอาวุโสของพี่วอนจึงแจงให้ข้าพเจ้าฟัง) ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าถูกชักจูงนั้นก็เพื่อเรียนรู้ศึกษาขนบการปฏิบัติ และข้าพเจ้าเชื่อว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ถือตัวนั้นมักจะพลาดการเข้าร่วมในกิจกรรมของ ชาวหลวงพระบาง ส่งผลให้ไม่ได้สัมผัสถึงแก่นของวิถีที่ชาวหลวงพระบาง เป็นอยู่ คงไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนกล้าเดินเข้าไปขอกินข้าวเหนียวในบ้านของชาวหลวงพระบาง ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเดินเข้าไปขอกินยาดอง ในไหของบ้านคนที่ไม่รู้จัก และแน่นอนว่าการรู้จักกับกลุ่มชาวลื้อจาก บ้านผานมนี้ โดยบังเอิญที่ประสงค์เข้าชมการประกวดนางสังขารเหมือนกัน โดยต่างฝ่ายไม่ต้องการที่จะจ่ายแพงในการเข้าชม และตอนนี้ข้าพเจ้ากับ คุณเจี๊ยบกำลังจะไปตบทาดกับชาวลื้อในตอนบ่าย โอกาสดี ๆ อย่างนี่ถ้า เป็นท่านจะไปหรือไม่… และประเพณีการตบทาดนั้นถ้ากลุ่มใดหรือ หมู่บ้านใดสามารถ สร้างได้ใหญ่ก็จะแสดงถึงความสามัคคีและความยิ่งใหญ่ ของพวกเขา นับว่าเป็นการแสดงออกที่ดีที่ควร และอีกอย่างหนึ่งประเพณี นี้เป็นการได้พบปะกันของหนุ่มสาวในสมัยก่อน อย่างไรเสียบ่ายวันนี้ ข้าพเจ้าก็จะไปดูชาวหลวงพระบางตบทาดอยู่แล้ว และยิ่งมีทาดที่ข้าพเจ้า ได้ร่วมตบกับมือตนเองแล้ว ถ่ายรูปเก็บไว้จะน่าภาคภูมิใจ เอาละข้าพเจ้าไป ตบทาดกับชาวลื้อแห่งบ้านผานมแน่นอน บ่าย 2 โมงกว่าข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบนั่งเรือข้ามน้ำโขงไปยังฝั่ง เมืองเซียงแมน วันนี้เมืองเซียงแมนตื่นจากหลับมานาน มองภูนางแล้ว นึกถึงตำนานภูท้าวภูนาง เนื่องจากบริเวณที่มีการตบทาดเป็นหาดทราย ที่ราบตื้นการจอดเรือทำได้แค่เพียงใกล้ฝั่งมากที่สุด และไม่มีท่าเทียบเรือ เหมือนท่าเรือเซียงแมน จึงทำให้ผู้ที่ข้ามมาตบทาดต้องเดินลุยน้ำขึ้นฝั่ง อย่างทุลักทุเล ประกอบกับเป็นโคลนทรายจึงหนืดเท้าพอควร เมื่อข้าพเจ้า เดินขึ้นมายืนบนหาดก็มีเสียงเรียกข้าพเจ้าเสียงดังโวยวายไกลๆ เมื่อหัน ไปทางต้นเสียงก็เห็นพี่ขาว พี่วอน และสมาชิกอีกหลายคนที่พบกันเมื่อ ตอนสายโบกไม้โบกมือเรียกให้ไปร่วมตบทาดกับพวกเธอ การตบทาดเริ่มต้นด้วยการหาทำเลที่เหมาะแก่การขุดทรายได้ สะดวก เมื่อหาทำเลได้แล้วทุกคนจะล้อมเป็นวงพยายามขุดและก่อให้เป็น กองทราย (เหมือนก่อกองทรายตามชายทะเล หากแต่ที่นี่เป็นโคลนทราย ทำให้ยากแก่การขุด) ในการก่อกองทรายนั้นเวลาสร้างจะต้องตบให้เป็น รูปร่างทรงกรวยเหมือนไอศกรีมโคนคว่ำ ถึงแม้จะทุลักทุเลและเลอะเทอะ แต่พวกเราก็สามารถสร้างกองทรายที่มีขนาดไม่น้อยหน้ากลุ่มอื่น นอกจาก กองทรายแล้วยังปั้นทรายเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ วางล้อมทาดทรายโรยแป้งมันให้ขาว โพลนให้เหมือน “วาลุกะเจดีย์” ของนาง วิสาขาที่ก่อทรายขาวเป็นพุทธบูชาตาม พุทธประวัติ ส่วนเศษแป้งมันที่เหลือก็จะมาทาหน้ากันเป็นที่ สนุกสนาน แล้วปักตุงประจำราศีเกิด จุดธูป เทียน สวดมนตร์ขอพร เป็นอันเสร็จพิธีการตบทาด หลังจากนั้นก็จะยืนล้อมทาดร้องเพลง สนุกสนาน บ้างก็นำกลองมาประโคมเป็นที่คึกครื้น อบอวนไปด้วยกลิ่นธูป และสีหน้าที่เอิบอิ่มของผู้มาร่วมตบทาด นอกจากนี้บริเวณหาดทราย ยังมีซุ้มขายอาหารเครื่องดื่มและซุ้มรำวง “เต้นบาสสโลบ” สร้างสีสันในงาน บุญตบทาด จากนั้นก็จะเดินขึ้นไปสรงน้ำพระที่วัดจอมเพชร และในเวลาค่ำ จะมีการลอยกระทงซึ่งเป็นกระทงใบตองธรรมดามีดอกไม้ประดับสวยงาม ไม่ปักธูปเทียนเหมือนของไทย และการลอยกระทงในวันนี้เป็นการลอย เคราะห์ที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมาทิ้งไปกับแม่น้ำ ไม่ได้หมายถึงการขอขมาต่อ พระแม่คงคาของไทย พี่ขาวชวนข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบไปร่วมดื่มฉลองทาดที่บ้านญาติ ฝั่งเซียงแมน และฝั่งเมืองเซียงแมนนี้เองที่เคยเป็นที่ตั้งทัพสมัยเจ้าพระยา สุรศักดิ์มนตรียกทัพมาปราบฮ่อที่เมืองหลวงพระบาง โดยชาวฮ่อจะตั้งค่าย รับอยู่ที่วัดเซียงทอง และเมื่อครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้ดินแดน ฝั่งขวาแม่น้ำโขงกลับคืน และที่ข้าพเจ้ายืนนี้ก็คืออำเภอเซียงแมน จังหวัดล้านช้างของสยามประเทศในอดีต แต่จนแล้วจนรอดดินแดนแห่งนี้ ก็กลับไปเป็นของราชอาณาจักรลาวในภายหลัง การฉลองของชาวลื้อก็ไม่มี พิธีอะไรมากนอกจากเบียร์ ส้มตำ ปลาทอด นอกจากนี้ยังมีมะปรางที่แสน เปรี้ยวเข็ดฟัน ซึ่ง 2 สาวลื้อวัยทีนปีนเก็บจากต้นใกล้บ้าน เรียกว่าอยากกิน อะไรก็ร้องขอเจ้าของแล้วก็ปีนเก็บได้ตามสบาย ไม่มีการหวงของกัน ข้าพเจ้าไม่ได้แปลกใจนักกับการมีน้ำใจให้แก่กันการพึ่งพาอาศัยกัน หากแต่ในประเทศของเราก็ยังมีอยู่ในต่างจังหวัด หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง จนเวลาใกล้ค่ำพวกเราจึงลงเรือกลับมาเมืองหลวงพระบาง ก่อนจะร่ำรากัน พี่วอนก็เอ่ยปากชวนข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบไปร่วมทำบุญปีใหม่แบบชาวลื้อที่ โรงเรียนบ้านผานม โดยมีการทำบุญในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ออกร้านขายผ้า มีการแสดงของเยาวชน และการเดินแฟชั่นโชว์ในชุดผ้าทอของบ้านผานม ซึ่งงานนี้จะมีคณะผู้ใหญ่จากต่างประเทศเดินทางมาเยี่ยมชมงานด้วย ข้าพเจ้าคำนวณเวลาแล้วน่าจะไปได้เพราะในเวลาบ่ายจะมีขบวนแห่นาง สังขารที่เมืองหลวงพระบางซึ่งตอนเช้าก็น่าจะไปเที่ยวที่บ้านผานม จึงตกปากรับคำตามคำชวนเชิญของพี่วอน หมดไปอีกหนึ่งวัน โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณครับ